การไม่มีโรคเป็นลาภจากการตั้งใจ

วันนี้ลุงหมอมีเรื่องโรคมาเล่าให้สาวๆ ได้มองโลกของข้อเท็จจริง เพื่อเตรียมพร้อมไม่เสียใจและเป็นทุกข์นะครับ

เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558  ได้มีผู้หญิงมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง  มีผลตรวจเลือดเอชไอวีเป็น     “บวก” แต่ผลเลือดของสามีเป็น “ลบ” พวกหลานๆแปลกใจกันบ้างไหม แล้วเป็นเรื่องใกล้ตัวของผู้ที่มีแฟนหรือคู่รัก ยังไง เราควรจะระวัง ป้องกัน ตนเองมากขึ้นหรือไม่ ผลเลือดแบบนี้เรียกว่า”ผลเลือดต่างในคู่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี” โดยคู่ครอง คู่นอน แฟนแล้วแต่จะเรียก มีผลเลือดเอชไอวี เป็นบวกขณะที่อีกคนเป็นลบ ผลเลือดต่างนี้ลักษณะพบได้มากขึ้นในปัจจุบัน
โดยเป็นไปในสองลักษณะ คือ

1) ผู้หญิงเอชไอวี “บวก” แฟนเอชไอวี “ลบ” 

2) ผู้หญิงเอชไอวี “ลบแต่แฟนเอชไอวี “บวก”  

ข้อมูลที่วิจัยโดย ผศ.ดร.พูลสุข เจนพานิชย์ วิสุทธิพันธ์ จากมหาวิทยาลัยมหิดลในปี 2555 พบว่าคู่ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีนั้น มีผลเลือดเอชไอวีเป็นลบ 51% การที่มีคนติดเชื้อเอชไอวีแต่ไม่รู้สถานะของตนเอง จะเป็นคนแพร่เชื้อเอชไอวีให้แฟนหรือคู่ตนเองได้ ส่วนคนที่เป็นแฟนและมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้สวมถุงยางอนามัย ก็จะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อเอชไอวีเช่นกัน
ดังนั้น จึงมีแง่คิดว่า เราควรรู้สถานะการติดเชื้อของตนเองและแฟนจะดีกว่าไหม จะได้ใส่ใจในการป้องกันการติดเชื้อด้วยการใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อเอชไอวี 

วิธีการโดยตรวจหาเชื้อเอชไอวี ควรทำก่อนแต่งงาน หรือ หลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ถ้าเป็นไปได้และตรวจซ้ำหลังจากนั้นอีกเดือน ถ้าเป็นไปได้ลุงหมอแนะนำว่าควรตรวจเลือดทุกปี ถ้าเรามีความเสี่ยงที่ไม่ได้ใช้ถุงยาง เพราะประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ในปี 2557 จำนวนถึง 7,324 คน คือ เฉลียถึงวันละ 22 คน นอกจากนี้ ยังตรวจพบ ผู้ที่เป็นโรคหนองใน และ ซิฟิลิสมากขึ้น ข้อมูลนี้แสดงว่าคนจำนวนมากไม่ตระหนัก ไม่กลัว มีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ได้ป้องกัน ส่วนใหญ่ก็มาตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีก็ต่อเมื่อมีอาการแล้ว  ทำให้เสียโอกาสที่จะ รู้เร็วรักษาเร็ว

ช่วงนี้ก็มีคนที่มีปัญหาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาพบลุงหมอหลายคนนะครับ เริ่มที่สาวมาดดี สวย อายุ 26 ปี ยังเรียนและทำงานด้วยมีตกขาว คันเล็กน้อย บางครั้งปวดท้องน้อย เป็นมา 2 สัปดาห์ เธอมากับคุณแม่วัย 48 ปี ที่สนับสนุนให้ลูกสาวตรวจภายใน ผลการตรวจตกขาวลุงหมอแจ้งว่าเป็นโรคหนองในเทียม เธอก็ตกใจว่าไม่คาดคิดเลย เธอบอกว่าขณะนี้เลิกกับแฟนแล้ว และที่เลิกเพราะจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอีกคน เขาเลือกที่จะคบกับทั้งสองคนแต่เธอยอมรับไม่ได้ ช่วงรักกันเธอตอบสนองเขา มีเพศสัมพันธ์ตามที่เขาปรารถนา เขาสวมถุงยางอนามัยในช่วงแรกๆ แต่หลายครั้งก็ไม่ใช้ บอกว่าไม่ได้ซื้อ เธอก็ตามใจ ปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ยืนกรานให้เขาใส่ถุงยาง คิดว่าคงไม่เป็นอะไร ดูเขาเป็นคนรักความสะอาด คงไม่น่าจะมีโรคมาให้ ต่อมาพฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัยของเธอได้พัฒนา คือเตรียมถุงยางเองไม่ได้ไปซื้อถุงยางที่7-11แต่ซื้อที่ร้านขายยาซึ่งดูมิดชิดกว่า แล้วก็สั่งซื้อทางออนไลน์ สั่งพร้อมสิ่งของอย่างอื่นด้วย ถุงยางสั่งทีละ 2 กล่อง เธอชอบถุงยางที่ค่อนข้างบาง เธอว่าใช้ดีกว่า 

แต่บางช่วง เธอเล่าว่า ก็กินยาเม็ดคุมกำเนิดที่หาซื้อได้จากร้านขายยา แต่ไม่ได้รับคำแนะนำวิธีกิน เธอเข้าใจว่ากินวันละครั้ง เธอจึงกินช่วงเช้า จริงๆ แล้วยาคุมควรกินตอนเย็นหรือก่อนนอน โดยทุกเช้าต้องตรวจว่าลืมกินไหมเมื่อคืน สำหรับยาแผง 21 เม็ด กินตามลูกศรจนยาหมดก็จะมีประจำเดือนมาหลังยาหมด3-4 วัน แล้วเริ่มแผงใหม่ในวันที่ 5 ของประจำเดือน หรือจำง่ายๆ คือเว้นไป 7 วันแล้ววันที่ 8 ก็เริ่มกินยาคุมแผงใหม่ได้

หลังตรวจเสร็จ เธอออกมานั่งด้านนอกห้องตรวจ คุณแม่ถามลุงหมอว่า “ลูกสาวเป็นโรคอะไรไหมค่ะ”  “หนูเป็นโรคหนองในเทียมค่ะ” ลูกสาวชิงตอบก่อน “โรคนี้เป็นได้ยังไงค่ะ” คุณแม่ถามต่อ “เป็นโรคที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ครับ” ลุงหมอตอบคุณแม่เพราะลูกสาวได้บอกให้ช่วยบอก ผลปรากฏว่าคุณแม่นั่งนิ่ง แต่ดูท่าไม่ตกใจเท่าไหร่ และย้ำให้ลูกสาวรักษาให้หายและมาหาหมอตามนัด ก่อนกลับ ลุงหมอให้ข้อคิดฝากให้เธอรู้จักคบหาผู้ชาย รู้จักเลือกที่จะมี ไม่มีเพศสัมพันธ์ น้องคนนี้มีข้อดีที่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกครบ 3 เข็มแล้ว  

นอกจากนี้ ลุงหมอยังได้ให้คำปรึกษากับหญิงสาวอายุ 23 ปี เพราะสงสัยว่าจะเป็นโรคหนองในโดยติดจากแฟน  เพราะว่าใช้ถุงยางเพียง 10-20% เท่านั้น อีกตัวอย่าง เป็นสาววัย 24 ปีมาปรึกษาว่าเธอเคยเป็นติ่งเนื้อเล็กๆบริเวณอวัยวะเพศ ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลคุณหมอบอกเป็นโรคหูดหงอนไก่ รักษาด้วยการทายา คำถามของเธอคือจะเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งปากมดลูกไหมและจะต้องทำยังไงต่อไป เธอเล่าว่ามีแฟนคนแรกเมื่ออายุ 18 ปี นานๆ ครั้งจึงจะมีเพศสัมพันธ์กัน การป้องกันใช้ถุงยางประมาณ 90% และ กินยาคุมด้วยเพราะกลัวท้องมาก ตอนหลังลดการใช้ถุงยาง กินแต่ยาคุมคิดว่าน่าจะพอ ไม่ได้คิดถึงเรื่องโรค ส่วนแฟนคนที่ 2 คบกันนาน 4 ปี ไม่ได้ใช้ถุงยางเลย กินแต่ยาคุม คิดว่าค่อนข้างไว้ใจแต่ก็รู้ว่าเขาเคยมีแฟนมาก่อน 

ลุงหมออยากจะบอกว่า
การมีเพศสัมพันธ์แม้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เราควรรักตัวเองด้วยการป้องกัน การติดเชื้อเอชไอวีและโรคต่างๆ และควรมีความตั้งใจจริงบวกกับเพิ่มความสามารถ ที่จะควบคุมพฤติกรรมของตัวเอง ให้ใช้ถุงยางทุกครั้ง หรือ 100 เปอร์เซ็นต์ให้ได้นะครับ

ด้วยรักและห่วงใย

ลุงหมอเรืองกิตติ์