…บทสนทนาระหว่างผมกับเธอนั้น ถึงกับทำให้ผมรู้สึกสั่นไหว มันก็เหมือนกับการนั่งเปลที่กำลังกวัดไกว แกว่งเบาๆพอให้รู้สึกโคลงเคลง
ผมกำลังหมายถึง เธอ ๒ คน
เธอคนแรกเป็นมะเร็งที่สมอง
“แป๊ะ พี่มีเรื่องขอความช่วยเหลือครับ” เสียงปลายสายมาจากประสาทศัลยแพทย์ หมอรุ่นพี่ที่เรียนตามกันมา“เดี๋ยวนะพี่ พี่ไปทำใครท้องเหรอ อย่าขึ้นต้นแบบนี้ มันทำให้น้องจิตใจหวั่นไหวเชียว” ผมแซวออกไปขณะเปิดเสียงโทรศัพท์ออกลำโพงในรถ
“บ้าเหรอ คนอย่างพี่ไม่ทำเรื่องแบบนี้ร๊อก” หางเสียงสูงปรี๊ดตอบมาแบบนี้เรียกเสียงหัวเราะจากเมียและลูกผมได้ทันที“คืออย่างนี้ พี่มีคนไข้คนนึง เค้าเป็นมะเร็งสมอง ผ่าตัดไประยะหนึ่งแล้ว แขนขาด้านขวาอ่อนแรงเหลือเกรด ๓ ตอนนี้มะเร็งมันกลับมาเป็นซ้ำ เค้าท้องว่ะแป๊ะ ทำไงดีวะ” เล่นส่งคำถามประหนึ่งโยนหินก้อนโตมาให้เลยเชียว“แล้วพี่กับคนไข้ว่ายังไงล่ะครับ” ผมถาม
“ทำแท้งให้หน่อยได้ไหมน้อง โรคมันแย่ว่ะ”
ไอ้ที่ว่าแย่นั้น มันแย่ทั้งมะเร็งชนิดรุนแรงที่เธอเป็นอยู่ มันกำลังกัดกินเนื้อสมอง อีกไม่นานนัก ส่วนที่มันกัดกินจะทำให้เธอสูญเสียความสามารถในการพูด ตอนนี้มันแย่ที่เธออ่อนแรงไปซีกหนึ่ง เดินและช่วยตัวเองลำบากมาก แย่ที่การตั้งครรภ์จะทำให้เธอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ยากขึ้น เดินยากขึ้น ล้มง่ายขึ้น เหนื่อยมากขึ้น และเธอจะรู้ไหมว่า เธอมีเวลาเลี้ยงลูกคนนี้อีกไม่นาน
“เอิ่ม..พี่ครับ เรื่องจิ๊บจ๊อยครับ แต่พี่ควรให้หมอสูติที่โรงพยาบาลพี่จัดการนะครับ มีตั้งหลายคน และพี่กับผมก็อยู่ไกลกันขนาดนี้ คนไข้เดินทางลำบากมากเลย และอีกอย่าง ตอนนี้ผมถูกห้ามทำแท้งครับ” ผมนึกถึงเรื่องราวทางโลกที่ตัวเองกำลังประสบ และต้องตอบปฏิเสธไป
“แล้วทีนี้เค้าจะทำยังไงล่ะพ่อ” ลูกสาวคนโตเอ่ยถามออกมา
ผมไม่ได้ตอบคำถามลูกสาว ซึ่งเธอเองก็น่าจะเข้าใจในท่าทีอันนี้ ผมรู้สึกปีติเล็กน้อย ที่ความเอื้ออาทรของสมาชิกในครอบครัวต่อเพื่อนมนุษย์มันบังเกิดขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องพร่ำสอนมากนัก
ล่วงมาอีกสัปดาห์
“แป๊ะครับ ทำไงดี หมอสูติโรงพยาบาลพี่ไม่ยอมทำแท้งให้ คนไข้มะเร็งสมองที่พี่เล่าให้ฟังวันก่อนน่ะ จำได้ไหม” หมอผ่าตัดสมองคนเดิมส่งเสียงระทวย“จำได้พี่ พี่ก็ส่งมาม.อ.นั่นแหละครับ ตอนนี้ผมไม่อยู่นะพี่ แต่อาจารย์คนอื่นจะเป็นคนดูแลให้เอง เขียนใบส่งตัวมาให้เรียบร้อยนะครับ” ผมเองก็น่าจะทราบจุดจบของเรื่องนี้ดี
แล้วคนไข้รายนี้เธอก็มาเป็นผู้ป่วยของสายที่ผมต้องร่วมกันดูแล
แล้วการทำแท้งก็ดำเนินเรื่องราวของมันไป
“เรียบร้อยแล้วครับอาจารย์ เพิ่งแท้งไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง เราคุยกันเรื่องคุมกำเนิด เค้าจะให้สามีทำหมันครับ” ลูกศิษย์รายงานให้ทราบในเช้าวันจันทร์ ซึ่งสัปดาห์นี้ผมมีหน้าที่ดูแลคนไข้ต่อ และลูกศิษย์แอบกระซิบให้ทราบว่า การต่อรองเรื่องทำหมันชายยังไม่จบ เราคิดว่า สามีเธอคงไม่ยอมทำหมัน
“ไป เราไปดูคนไข้กัน” พับผ่าเถอะ ผมนี่โคตรชอบประโยคนี้เลย ผมใช้คำว่า “เรา” นั่นเพราะเราช่วยกันดูแลคนไข้ไงครับ นักเรียนแพทย์ extern intern แพทย์ประจำบ้าน และอาจารย์ เราเป็นทีมเดียวกันอย่างเนียนๆ
“เรากำลังจะให้เธอกลับบ้านวันนี้แล้วนะครับ ตกลงว่าเรื่องคุมกำเนิดจะว่ากันยังไง” ผมถามออกมา และแอบสังเกตว่าขณะที่เราคุยกันนั้น ชายหนุ่มผู้เป็นสามีนั่งก้มหน้าตลอดเวลา ผมไม่กล้าออกตัวแรง ไม่รู้ว่าทั้งคู่กำลังต่อสู้กันทางความคิดเรื่องอะไรกันอยู่
“ทำหมันชายง่ายนิดเดียว แผลแทบมองไม่เห็น”“เจ็บน้อยกว่าเมียคลอดเป็นแน่แท้”“จะให้หมอทำหมันหญิง หมอไม่เห็นด้วย โรคที่เป็นตอนนี้ผมไม่อยากให้ดมยาสลบแล้วเป่าลมเข้าท้อง”“หรือจะให้ฝังยาคุมที่ท้องแขนก็ดีนะ”….“ถ้าคิดไม่ออกก็ใช้ถุงยางไปก่อนก็ได้ มันก็มันเหมือนกัน เลือกที่ถูกใจหลายๆยี่ห้อ สนุกดีนะ” ผมไม่รู้จะพูดต่อยังไงอีกแล้ว เพราะไม่รู้ใจคนทั้งคู่เลยแล้วทีมเราก็ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง
“มันคันครับหมอ ใช้ไม่ได้” นั่นไง สามีเขาเริ่มพูดกับเราแล้ว เจี๊ยวเขาแพ้ถุงยาง แต่กระนั้น ก็ยังคงนั่งก้มหน้า เอาเหอะ เมื่อเริ่มพูด ผมก็เริ่มกระบวนการของผมต่อได้
ผมเลือกที่จะนั่งลงบนโซฟาข้างผู้ที่เป็นสามีนั่งคอตกอยู่“หมอถามหน่อยได้ไหมครับ เธอทั้งคู่รู้ไหม ว่าอนาคตของครอบครัวจะเป็นยังไง” ผมกำลังจะเริ่มถามเรื่องความรับรู้เรื่องโรคที่เธอเป็น“ไม่รู้หรอกค่ะ แต่หนูคิดว่าขอใช้ชีวิตให้อยู่กับวันนี้ อยู่กับปัจจุบัน มันก็น่าจะดีเพียงพอกับโรคที่เป็นอยู่” ผู้เป็นเมียตอบออกมาหน้าสดใสขึ้น“ดีครับ แต่หมอมีความเห็นว่า หากเรารู้ปลายทางของนิยายว่ามันเป็นอย่างไร จบอย่างไรแล้ว การมีชีวิตในปัจจุบันนั้นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเลย”
“ขอถามหน่อยได้ไหม เธอทั้งคู่ทราบไหมว่า โรคนี้จะทำให้เธออยู่ได้แบบนี้อีกนานเท่าไหร่” ผมยิงตรง
ห้องเงียบไประยะหนึ่ง
“ผมทราบครับหมอ แต่เค้าน่าจะยังไม่ทราบ” เสียงผู้ชายตอบออกมาแผ่วเบา“แล้วเธอล่ะ ว่าไง” ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ
คำตอบกลับมามีเพียงรอยยิ้ม ซึ่งเพียงแค่นี้ผมก็รู้คำตอบจากเธอแล้ว
“เธอมีลูกกี่คนแล้วล่ะ”“คนเดียวค่ะหมอ” เธอตอบ“แล้วต่อไป คิดว่าพ่อกับลูกจะอยู่กันยังไงครับ” ผมยิงเปรี้ยงออกไปอีกดอก
“บางทีผู้ชายก็อาจจะต้องการคนมาดูแลชีวิตในอีกมุมหนึ่งเหมือนกัน” ผมคิดในใจ ผมแอบคิดถึงตัวเอง ที่มีเมียคอยพับผ้าจัดเสื้อใส่กระเป๋าเดินทางให้“พ่อนี่ เสื้อยับหมด” เธอมักจะพูดแบบนี้ผมคิดถึงกับข้าวที่มีคนตื่นมาทำให้กินแทบทุกเช้าผมคิดถึงน้ำผลไม้ปั่นมื้อค่ำ ที่คนทำชอบนั่งดูเวลาผมดื่ม
เธอนิ่งไปนิดหนึ่ง
“นั่นแหละค่ะหมอ ที่ทำให้หนูรู้สึกว่า เค้าไม่ควรทำหมัน”“เค้าควรจะมีอิสระในการใช้ชีวิตคู่กับคนอื่นได้อีกหลังจากที่หนูจากไปแล้ว” แล้วเธอก็บอกความนัยออกมา
เป็นไงครับการคุยกับคนไข้แบบนี้ หลายๆครั้งก็ทำให้ผมสั่นไหวไปได้เหมือนกัน
ผมมักจะบอกลูกศิษย์เสมอๆ ว่านี่คือ สิทธิ์พิเศษของเรา พวกเราที่เป็นหมอ มักได้มีโอกาสที่จะรู้เรื่องทุกอย่างที่คนไข้และครอบครัวพร้อมที่จะบอกและคราวนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า พวกเราพร้อมที่จะฟังหรือยังเท่านั้น
……………………ปรับอารมณ์หน่อย
“เธอ” คนที่ ๒ ที่ทำให้ผมหวั่นไหวได้คนนี้ ไม่ได้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง แต่เธอมาพบผมเพื่อตรวจสุขภาพตามปกติเรารู้จักกันมานาน น่าจะเกิน ๓ ปี
“ขอโทษนะ หมอขอถามเรื่องส่วนตัวสักเล็กน้อยบ้างได้ไหม” ผมหยอดคำถามออกมาหลังจากจัดการบันทึกทางการแพทย์เสร็จเรียบร้อย
“เรื่องอะไรคะหมอ” เธอยิ้มตามปกติอย่างที่เจอกันทุกครั้ง
“เวลาที่เธอทำงานกับแขกน่ะ เธอมีความสุขทางเพศบ้างไหม” ผมเว้นช่องไฟเพื่อสังเกตอาการผู้ฟังข้างหน้า “ฉันกำลังหมายความว่า สนุก และถึงจุดสุดยอดทางเพศน่ะ” เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าผมกำลังคุยอยู่กับใคร
“ก็มีนะคะหมอ เวลามีผู้ชายที่หนูรู้สึกถูกใจ หรือพึงใจ หนูก็จะรู้สึกมีอารมณ์ทางเพศกับเขาด้วย แล้วเวลาทำงานมันก็จะมีความสุขและถึงได้” เธอเล่ามาอย่างเป็นธรรมชาติเอาล่ะ เมื่อเธอธรรมชาติมา ผมก็รู้สึกปลอดภัยที่จะคุยต่ออย่างเป็นธรรมชาติบ้าง
“มีผู้ชายที่ดูแลกิจกรรมทางเพศกับเธออย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม ไม่ปฏิบัติเยี่ยงการซื้อขายบ้างไหม” ผมยังสงสัยไม่เลิก เพราะหลายครั้งที่พวกเธอมาบ่นกับผมนั้น คือความรุนแรงทางเพศที่พวกเธอถูกกระทำเวลาทำงาน“ก็มีนะคะ ส่วนมากที่เป็นแบบนี้ก็เป็นลูกค้าคนไทยค่ะ”“เค้าทำให้เธอถึงก่อนสินะ” ผมเปรยออกมาให้ฟังดูแล้วรู้สึกเหมือนคำถาม“ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้นค่ะ เพราะถ้าหนูเสร็จก่อน มันก็จะหมดสนุกกันทั้งคู่ มันก็จะกลายเป็นแค่การทำงานธรรมดา ให้มันเสร็จๆไป” เธอตอบ
“ขออีกคำถามนึง ท่าไหนที่เธอถึงจุดสุดยอดทางเพศง่ายที่สุด” ผมถามโดยกำลังลุ้น ว่าคำตอบมันจะเหมือนกับที่รู้หรือไม่“ก็ต้องอยู่ด้านบนค่ะ ต้องทำเอง โยกเอง ส่ายเอง แบบนั้น ถึงแน่นอนค่ะ” เธอระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ขอข้อสุดท้ายของสุดท้าย” ฮ่าย….
“ในการทำงาน ๑๐ ครั้ง เธอเสร็จกี่ครั้ง”“๒ ค่ะ”
“ออ ๒ ใน ๑๐ ก็ถือว่าไม่เลวนะ แบบนี้เรียกว่า ไม่เสียเวลาฟรี” ผมเย้า
“หมอนี่ มาแหย่หนู” คนสวยตรงหน้าหัวเราะร่วน(เอิ่ม…แหย่ในที่นี้ คือการล้อเล่นนะครับ อย่าเพิ่งไปไหนไกล)
“แต่หนูก็ชอบให้หมอแหย่นะคะ” เธอชม้อยชม้ายชายตาแล้วสวัสดี และเดินออกจากห้องตรวจไป พร้อมกับทิ้งความหวั่นไหวให้ผมสะพรั่งพรึง
ธนพันธ์ ชูบุญผู้มีความหวั่นไหวในความรัก ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑