๔ กันยายน ๒๕๕๖
สะเทือนจิตกันอีกวันกับการต้องทำแท้งคนไข้คนหนึ่งในวันนี้
ราว ๑๐ โมงเช้า ผมได้รับโทรศัพท์จากโอพีดีว่ามีคนไข้ถูกส่งตัวมาเพื่อขอให้ทำแท้ง จึงต้องรีบลงไปดูพร้อมทีม
หลายๆคนใช้ความรู้สึกกับเรื่องการทำแท้ง ว่าการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมนั้นเป็นปัญหาของวัยรุ่นเสียเยอะ แต่ในความเป็นจริง
ข้อมูลจากงานวิจัยของไทยเองพบว่า เพียง ๑ ใน ๓ เท่านั้นที่เป็นวัยรุ่น ที่เหลือนั้นเป็นกลุ่มแม่บ้าน เฉกเช่นวันนี้
ที่ผมถูกตามลงมาดูสตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง คนซึ่งผ่านการมีลูกมาแล้วถึง ๓ คน เธอตั้งท้องลูกคนที่ ๔
พร้อมๆกับการที่รู้ว่าสามีตนไปมีเมียน้อย และเมียน้อยก็กำลังท้องอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
ผมถามไปว่าสามีเธอรู้เรื่องการตั้งท้องครั้งนี้หรือยัง
“รู้แล้ว และเขาก็บอกให้มาทำแท้ง” เธอตอบพร้อมกับน้ำในเบ้าตาที่กำลังเอ่อล้นออกมา
“แล้วเธอล่ะ คิดยังไง” ผมถามออกไป
ต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง เธอจึงสามารถตอบคำถามง่ายๆแต่ตอบยากเหลือเกินเช่นนี้ได้
เธอเล่าว่า จริงๆแล้วเธอก็ไม่อยากทำแท้งหรอก แต่เมื่อมาคิดว่าหากตั้งท้องต่อไปก็คงจะลำบาก
เพราะผู้ชายเขาไม่มาดูแลครอบครัวอีกเลย ลำพังเงินที่หาเลี้ยงชีพมาได้เดือนละเกือบหมื่นก็ต้องประหยัดกันสุดตัวอยู่แล้ว
ลูก ๒ คนที่กำลังเรียนคุณครูก็ให้กินข้าวฟรี หนังสือครูก็หามาให้ลูกเรียน นี่ถ้าคนนี้ออกมาอีกคนก็ไม่รู้จะอยู่กันยังไงจริงๆ
ตอนนี้น้ำตาของคนเล่าเรื่องหยดลงมาอาบแก้มจนผู้ช่วยผมต้องหากระดาษมาให้ซับ
ผมปล่อยให้ห้องเงียบลงพักหนึ่งก็ถามออกไปว่า “หากหมอไม่ทำแท้งให้จะทำยังไงต่อไป” ผมสังเกตเห็นแววตาตระหนกเพียงวูบหนึ่ง
เจ้าของดวงตาแดงเรื่อคู่นั้นก็เล่าต่อว่า เมื่อรู้ว่าท้องพร้อมๆกับรู้ว่าสามีไปมีเมียน้อยนั้น เธอมืดมนจนไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี
คิดจะฆ่าตัวตายหนีปัญหาไปด้วยซ้ำ มาคิดได้ว่ายังมีลูกเล็กๆรอเธออยู่ที่บ้านตั้ง ๓ คน คิดแล้วก็ทำไม่ลง ลูกจะอยู่ได้อย่างไร
หากเธอตายไป ดังนั้นก็เลยต้องอยู่ต่อไป พร้อมๆกับขอโทษลูกในท้อง เธอบอกว่า เธอกำลังทำบาปอย่างหนัก
เขาจะมาเกิดเธอก็มาเอาออกเสียอย่างนี้ ลูกคงพยาบาทเธอตลอดไป
ผมถามว่า ทำไมจึงคิดอย่างนั้น “เขาก็สอนๆกันมาอย่างนั้น ว่ามันเป็นบาป” คือคำตอบที่แสนจะคุ้นหู
ผมบอกเธอว่า อย่าโทษตัวเองเสียอย่านั้น เราต้องหันมามองดูให้ดีๆอย่างมีสติ เรากำลังทำเพื่อลูกที่เหลืออยู่ใช่ไหม
พวกเธอทั้ง ๔ คนกำลังจะต้องใช้ชีวิตกันต่อไป เธอและลูกกำลังต้องร่วมกันสู้ชีวิต
อย่าให้ความคิดเรื่องบาปที่เกี่ยวกับการทำแท้งมาทำให้แรงใจในการใช้ชีวิตเราถูกบั่นทอนลงสิ
การพยักหน้าพร้อมๆกับการปาดคราบน้ำตาออกจากดวงตาและแก้มอย่างช้าๆนั้นเป็นการยอมรับหรือพยายามเข้าใจผมก็ไม่ทราบได้
เธอยังคงเล่าต่อไปอีก
พอตัดสินใจได้ก็ไปโรงพยาบาล…. ตอนนั้นก็เครียดมาก กลัวจะถูกหมอที่โรงพยาบาลด่าและไม่ทำแท้งให้
แต่ที่แผนกวางแผนครอบครัว คุณหมอผู้ชาย (ทราบมาว่าเขาเป็นรุ่นน้องผมเองที่เคยผ่านการอบรมการใช้ MVA เมื่อ ๒ ปีก่อน)
เขาดูแลอย่างดี พูดคุยกันอยู่นานและท้ายที่สุดก็บอกว่า หากจะทำแท้งเขาจะส่งตัวมาให้ผมดูแลต่อ
ถึงตอนนี้ผมก็หันไปหาพี่แมว ผู้ช่วยที่ตกหลุมพรางของผมในการเข้ามาช่วยดูแลผู้หญิงที่มีปัญหาเหล่านี้
ก็สังเกตเห็นว่าเธอหันหลังให้การสนทนาของเรา (เธอบอกว่ามันน่าสงสารเสียจนเธอเองก็เกิดอาการน้ำตาตกใน)
“พี่แมว ว่าไง” เธอพยายามยิ้มให้แทนการตอบคำถาม
ผมหันไปบอกเธอคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าว่า อย่าลืมไปขอบคุณคุณหมอที่ส่งตัวมาด้วยนะ
นั่นเพราะเขาไม่ทอดทิ้งคนไข้ของเขา เขาจึงส่งตัวเธอมาหาผม
เย็นวันนี้ ผมไปรับลูกสาวทั้งคู่เพราะเมียไม่ค่อยสบาย ผมเล่าให้พี่แป้งฟังเรื่องการทำแท้งในวันนี้ เธอฟังไปเรื่อยๆ
เพราะพ่อเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟังออกจะบ่อย แต่ครั้งนี้ผมพยายามให้ลูกเปรียบเทียบรายได้ของผู้หญิงกับเงินรายสัปดาห์
ที่ผมให้เธอไปใช้ที่โรงเรียน แล้วลองคิดดูว่า ๔ ชีวิตที่จะต้องใช้เงินรายได้ที่แม่หามานั้นมันขัดสนมากน้อยแค่ไหน
“มันน้อยจังเลยนะพ่อ เขาน่าจะลำบาก”
น้องจ้าซึ่งยังไม่ค่อยคุ้นนักก็คงตั้งใจฟังอย่างงงงง ผมจึงหยอดออกไปว่า “จ้าฟังรู้เรื่องไหมลูก”
การส่ายหัวแทนคำตอบทำให้ผมต้องพูดไปว่า การทำแท้งเป็นการทำให้คนหยุดตั้งท้อง ไม่มีเด็กให้ท้อง
“แต่พ่อก็ไม่ได้เห็นตัวเด็กหรอกนะลูก เพราะบางทีตัวเล็กนิดเดียว ขนาดเพียงลูกน้ำลูกอ๊อดเท่านั้นเอง”
ดูเหมือนยังงงอยู่จึงถามพ่ออีกครั้ง
“แล้วเค้ากินลูกอ๊อดเข้าไปทำไมเหรอพ่อ”
งานนี้โดนัทที่อยู่เต็มปากพี่แป้งในขณะนั้นจึงถูกพ่นพรวดออกมาด้วยความขำน้องสาวสุดชีวิต