“ลูกรู้มั้ย ว่าทำไมพ่อจึงให้ลูกแยกห้องนอน” ผมถามลูกออกไปขณะกินข้าวแช่เย็นฉ่ำในมื้อเที่ยงนี้
สงกรานต์ปีนี้ผมต้องอยู่เวร ใส่หัวหมอสูติฯมิใช่เวรผู้บริหาร ตอนแรกผมถูกจัดให้ต้องอยู่วันที่ ๑๔ แต่เนื่องจากทุกสงกรานต์ ครอบครัวผมต้องทำบุญให้พ่อ ซึ่งท่านตายในช่วงก่อนสงกรานต์ งานบุญนี้มีมาตั้งแต่แป้งเกิดใหม่ๆแล้ว ดังนั้น เมื่อทราบว่าอยู่ช่วงกลางวันหยุด จึงต้องรีบหาทางในการแลกเปลี่ยน และมันจะน่าเกลียดมาก หากเราไปแลกกับคนที่อยู่เวรในช่วงต้นหรือท้ายวันหยุด แต่ยังมีโชคอยู่บ้างที่อาจารย์น้องนิลซึ่งอยู่หาดใหญ่ต้องอยู่เวรในวันที่ ๑๓ และไม่มีแผนจะไปเที่ยวที่ไหน จึงแลกกับผมได้ ขอบคุณจริงๆ
ความลำบากยังไม่หมดเพียงแค่การแลกเวรของผม เพราะแม่ของลูกสาวผมต้องการไปเยี่ยมบ้านเกิดของเธอ เช่นเดียวกันเมื่อสลับสับเปลี่ยนได้เพียงเท่านี้ จิ๋มกับน้องจ้าจึงล่วงหน้าไปปากพนังก่อน โดยอาศัยติดรถของแม่ข้างฟ่าง ที่จะกลับปากพนังเช่นเดียวกัน ผมจึงต้องครองโสดคู่กับพี่แป้งตั้งแต่เสาร์เช้า
ช่วงเวลาที่ลูกสาวกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น วัยวุ่นวายหัวใจ ซึ่งจะว่าไปแล้วคนที่วุ่นวายหัวใจไม่ใช่ใครหรอก นอกจากพ่อแม่ เขาก็เปลี่ยนไปตามวัยของเขา พ่อแม่ต่างหากที่ทำใจลำบากยุ่งยากหัวใจไปมากกว่าลูก แป้งกับพ่อแม่ก็เป็นไปตามนั้น
ดังนั้น เมื่อยามที่พ่อลูกต้องอยู่กันตามลำพัง จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ผมต้องรีบไขว่คว้า เพราะช่วงเวลา ๒ วันนี้ น่าจะทำอะไรได้อีกเยอะ ผมคิดเช่นนั้น ผมอยู่กับลูกทั้งวัน กินข้าวด้วยกันทั้ง ๓ มื้อ แป้งออกจะหงุดหงิดที่ต้องถูกปลุกแต่เช้า (เช้ากว่าปกติ) แต่เป็นภาวะจำยอมเพราะพ่อบอกว่าพ่อหิวไม่อยากออกไปกินข้าวคนเดียว นั่นเป็นเรื่องแรกที่ต้องปรับเข้าหากัน พ่อลูกทำงานหลายอย่าง พ่อจัดการนอกบ้าน ลูกสาวจัดการในบ้าน ล้างจาน ขัดส้วม สนุกไปอีกแบบ และกติกาที่ต้องใช้ใน ๒ วันนี้ คือ ไม่ใช้มือถือช่วงที่นั่งโต๊ะอาหาร และปิดอุปกรณ์สื่อสารหลัง ๓ ทุ่ม ไม่เปิดเด็ดขาด
วันนี้ตอนเที่ยงพ่ออยากกินข้าวแช่ เราจึงฝ่าดงน้ำสงกรานต์ออกไปข้างนอกกัน
“ลูกรู้ใช่มั้ย ว่าทำไมพ่อจึงอยากให้ลูกไปนอนที่ห้องตัวเอง ทั้งๆที่อยากนอนกอดลูกจะตาย”
แป้งพยักหน้า เพราะพ่อเคยบอกมาก่อนหน้านี้แล้ว
“มี ๒ เหตุผลนะลูก อย่างแรก ในช่วงเวลาเปิดเทอม ลูกเปิดนาฬิกาปลุกตั้งแต่ตี ๕ ครึ่ง เพื่อจะตื่นนอนเวลา ๖ โมงเช้า อันนี้พ่อไม่ไหว อย่างที่สองก็คือลูกนอนดึก พ่อกับแม่จะมีเซ็กส์กันก็ต้องรอลูกหลับ บางทีพ่อก็หลับไปก่อนลูกเสียอีก อีกอย่างพ่อกลัวลูกจะได้ยิน” ผมแจงเหตุผลไป จำได้ว่า ที่เคยบอกไปครั้งแรก แม่คุณคนนี้เขินเสียหน้าแดง แต่วันนี้เป็นครั้งที่ ๒ เธอจึงไม่แสดงอาการเขินอีกต่อไป
“ลูกโตแล้ว เวลาหลับ เดี๋ยวได้ยินเสียงพ่อกับแม่จนตื่นขึ้นมา พ่อคงเครียดตาย คงทำหน้าไม่ถูก” ผมแจงลูกไป
“พ่อกับแม่หื่นเหรอ” นั่นคือคำถามที่คนที่นั่งตรงหน้าถามขึ้นมา
“ไม่ได้เรียกว่าหื่นหรอกลูก แต่พ่อกับแม่ใช้ชีวิตของการอยู่เป็นคู่ เป็นผัวเป็นเมีย การมีเซ็กส์กันจึงเป็นเรื่องปกติ เป็นวิถีชีวิตของเราน่ะลูก” ผมตอบออกไป แต่ในใจก็กำลังหัวเราะกับคำถามที่ได้รับมา
“ทำไมลูกจึงถามแบบนี้ล่ะ” ถึงคราวพ่อถามบ้าง
“ก็พวกผู้ชายที่โรงเรียนน่ะ มันหื่นจะตาย วันๆพูดแต่เรื่องลามก” ลูกสาวตอบ
“ออ เข้าใจแล้ว และตกลงลูกเข้าใจใช่ไหม ว่าหื่นกับการมีเซ็กส์ของผัวเมียมันน่าจะเป็นคนละเรื่องกัน”
แป้งพยักหน้าแทนคำตอบ
วันนี้เลยได้มีโอกาสสอนลูกเรื่องเพศอีกสองสามอย่าง การใช้ถุงยาง การท้อง และการติดโรค และก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมถามไปเรื่องหนึ่ง
“แล้วลูกรู้ใช่ไหม ว่าเขามีเซ็กส์กันยังไง”
ฮ่า ฮ่า อยากรู้ใช่ไหม ว่าผมสอนลูกสาววัย ๑๓ คนนี้ต่อไปอย่างไร
ค่อยเล่าให้ฟังครับ เกือบสามทุ่มแล้ว
ธนพันธ์ ๑๓ เมย ๕๗ ที่มา : https://www.gotoknow.org