เมื่อวานเป็นวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นวันหลังวันวาเลนไทน์ ซึ่งเมื่อคืนคงเป็นวันพิเศษสำหรับใครหลายๆคนตามสมัยนิยม ผมหมายความว่า อาจจะเป็นวันเปิดซิง วันดูดดื่ม วันแตกหัก วันเตียงสั่น และอีกหลายๆอย่างตามแต่พฤติกรรมของเขาเหล่านั้น แต่ที่แน่ๆก็คือว่า อีกราวๆหนึ่งหรือสองเดือนจากนี้ไป ร้านขายยาคงขายแถบตรวจปัสสาวะหาการตั้งครรภ์กันจ้าละหวั่นเชียว เพราะว่าส่วนหนึ่งก็จะขาดระดู ส่วนหนึ่งก็นมตึง ส่วนหนึ่งก็อ๊วก นี่คงจะเป็นเหตุการณ์ปกติไปเสียแล้วในยุคนี้สมัยนี้ จริงๆมันก็ไม่ได้ติดท้องกันง่ายไปซะทุกคนหรอกครับ ผมหมายถึง ใครโชคดี พระเจ้าเข้าข้าง ก็บันดาลให้มูกไหล ไข่ตก ราวๆวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 แล้วท่านก็เกิดการปฏิสนธิกันอย่างสนุกสนาน ทำให้หลายคนระทมทุกข์กันมานักต่อนักแล้ว
การทำแท้งเป็นหนึ่งในการแก้ปัญหาปลายเหตุที่เริ่มมีการเข้าใจกันในระดับสังคม จริงอยู่ที่ว่า หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมเขียนนี้ แต่ในบรรดาความไม่ดี หรือสิ่งที่เลวๆที่คนที่เกลียดการทำแท้งระดมกล่าวหาคนที่มาทำแท้งหรือผู้ให้บริการทำแท้งอยู่นั้น บางครั้งการให้บริการทำแท้งก็มีเรื่องที่ลึกซึ้ง ดีๆ ปะปนมาอยู่บ้าง
เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขณะที่ผมตรวจผู้ป่วยอยู่ที่คลินิกนอกเวลาราชการอยู่นั้น ก็มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหาผม เธอบอกว่าตั้งครรภ์ เธอมีลูกแล้วหนึ่งคน ท้องนี้เป็นท้องที่สอง ปัญหาก็คือว่าเธอกำลังเรียนต่ออยู่ เธออยากทำแท้ง เธออยากเรียนให้จบ เธออยากจบให้พร้อมเพื่อนๆ “เอาล่ะสิ ผมไม่ทำแท้งครับ ทำไมมาหาผม ข้างนอกผมมีคนไข้รออีกมากเลย ถ้าคุยกันตอนนี้คงจะยาว” นั่นคือสิ่งที่ผมคิดในใจ
แต่ผมก็เริ่มคุยกับเธอ พยายามบอกเธอว่า อย่าเพิ่งรีบคิด กรุณานั่งๆนอนๆคิดนานๆ ถามเขาว่า ท้องนี้ทำขึ้นมาด้วยความรักหรือความใคร่ คำตอบก็คือ ความรัก ถามต่อไปว่า ตอนที่ทำน่ะ โกรธหรือสุข คำตอบคือ ความสุข ก็เลยคุยกันว่า เขามาเพราะความพร้อมเพรียงพร้อมใจของพ่อและแม่ เป็นเด็กที่เกิดมาจากความรัก เขามาดีมากๆ ให้ลองถามตัวเองดูว่าหมอพูดถูกหรือผิด ถึงตอนนี้น้ำตาเธอก็เริ่มไหล ผมก็ถามต่อไปอีกว่า เรียนหนังสือน่ะมันเรียนได้กี่ครั้งในชีวิต จบช้าจบเร็วนั้นมันมีศักดิ์ศรีต่างกันมากไหม ลงทะเบียนเรียนซ้ำนั้นมันส่งผลเสียต่อสุขภาพไหม แล้วลูกแต่ละคนนั้น ท้องมันได้กี่ครั้ง
ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง สุดท้ายเธอก็บอกว่าจะท้องต่อ และฝากกับผมได้ไหม
ผมทำคลอดให้เธอเอง แล้วก็ลืมไปนานเลย
เมื่อคืน ขณะที่ผมกำลังตรวจคนไข้อยู่ที่คลินิกนอกเวลาอยู่นั้น ก็มีคนไข้สาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เห็นหน้าปุ๊บผมก็จำได้ปั๊บ ถามไปว่า ลูกแข็งแรงดีไหม ส่วนเธอเองนั้นเมื่อเห็นหน้าผมก็ตกใจ แล้วก็ดีใจ เธอบอกว่า ไม่คิดว่าจะได้เจอผม ตอนนั้นผมบอกว่าจะไปเมืองนอก ก็เลยคิดว่าผมไปนานแล้ว อยากจะซื้อของขวัญมาให้หลังทำคลอดแต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสเลย ไม่คิดว่าจะได้มาเจอผมในวันนี้ จากนั้นเธอก็บอกผมว่า ลูกแข็งแรงดี ยังระลึกถึงบุญคุณของผมเมื่อครั้งก่อนได้ เธอและลูกคงไม่มีวันนี้หากไปทำแท้งเสียตอนนั้น ตกลงว่าเธอหยุดการเรียนไว้ก่อนแล้วไปเรียนต่อจนจบหลังคลอด ไอ้ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้จริงๆแล้วก็ไม่ได้จำได้มากนักหรอก มันผ่านออกมาจากปากของเธอเองทั้งนั้น เธอยังพูดไปน้ำตาไหลไปเหมือนเดิม แต่ต่างกันที่อารมณ์ที่แสดงออกในครั้งนี้ต่างจากครั้งนั้นมากมายนัก
ผมเลิกคลินิกด้วยความสดชื่น แม้ว่าจะเหนื่อยจากการตรวจคนไข้ตลอด 3 ชั่วโมงมานี้ คิดได้ว่า จริงๆแล้ว ในเรื่องแท้งนั้น มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทุกเรื่องหรอกหนา คนไข้บางคนนั่นแหละที่เป็นครูสอนผมได้อย่างดีทีเดียว
เลิฟแคร์ : เรื่องเล่าจากหมอทำแท้ง