“เธอนี่มันอีดอกจริงๆ”
ผมแทบไม่เชื่อหูและหัวใจตัวเองจริงๆ ว่าคำพูดหยาบคาย คำดูถูกเหยียดหยามสตรีเพศคำนึ้มันหลุดออกจากปากผมไปได้อย่างไร
แต่เอาเหอะ ยังไงเสีย ค่ำนี้ ผมก็ได้พูดใส่หน้าเธอไปแล้ว
…………………………
ครั้งหนึ่ง อาจารย์ที่เคารพเคยถามผมในที่ประชุมว่า “ลองบอกคุณลักษณะพิเศษของคนที่จะมาเป็นสูตินรีแพทย์ให้ฟังหน่อย” นั่นคือคำถามหนึ่งที่ติดตรึงใจผมมานาน จำได้ว่าคราวนั้นเป็นการสอบสัมภาษณ์นักเรียนแพทย์ที่สมัครมาเรียนต่อในสาขาสูตินรีเวช
“คือการเป็นคนที่เข้าใจในความละเอียดอ่อนของผู้หญิง และสำคัญที่สุด คือการไม่ดูถูกหรือเหยียดหยามความเป็นเพศสตรี” คือคำตอบจากอาจารย์
“gender discrimination” น่าจะเป็นคำที่สื่อถึงวลีที่อาจารย์สื่อออกมา
ได้ฟังดังนั้นก็ย้อนหันมามองตัวเอง ว่ามีคุณลักษณะที่ดีดังกล่าวหรือไม่
ฮ่าฮ่า ขอไม่ตอบดีกว่า
ในชีวิตของผม ได้เจอกับผู้หญิงมากมาย หลากวัย หลากอาชีพ และการที่เป็นสูตินรีแพทย์นั้น ผมก็ได้มีโอกาสตรวจร่างกาย ตรวจภายในให้แก่หญิงผู้ใช้เรือนร่างของเธอบริการความใคร่ของชายชาตรี (เขียนเสียยาว) อยู่หลายคน เธอเหล่านั้นคือผู้ขายบริการทางเพศนั่นเอง
คนกลุ่มนี้มีชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อยนะครับ
ทำไมน่ะเหรอ (อันที่จริง ดูเหมือนว่า ผมจะสนใจไปซะทุกเรื่อง ทุกคน ทุกกลุ่มนั่นแหละ)
หลายปีที่แล้ว ผมได้คุมนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๒ ในการทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม และด้วยความเป็นผม จึงนิยามคำว่าสังคมหลากหลายไปกว่า ชุมชน สังคมส่วนรวม หรือกระทั่งสังคมในขอบเขตของความเป็นสาธารณะ และนั่นจึงทำให้ สังคมของกลุ่มหญิงขายบริการทางเพศจึงเป็นสังคมในความสับสนทางการตีความของผม ฮ่าฮ่าฮ่า
“ไป..ไปนั่งคุยกับคนขายบริการทางเพศกัน” ผมเสนอความเห็นต่อลูกศิษย์
“จะดีเหรอครับอาจารย์ ผมไม่เห็นว่ามันจะบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมตรงไหนเลย” พวกเขาเริ่มมีความกังวล
“ไม่รู้สิ แต่ผมคิดว่าคนกลุ่มนี้มีเรื่องราวชีวิตน่าสนใจ เขาคงไม่เข้ามาทำงานนี้ด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือจะทำหรอกนะ มันต้องมีที่มา และสิ่งนั้นนั่นแหละที่น่าสนใจ บางครั้งการที่เราเข้ามาคุย มานั่งรับฟังเรื่องบางเรื่องที่เขาอาจจะอยากเล่า อยากระบาย ก็อาจจะเป็นการทำประโยชน์ต่อเขาก็ได้” ผมสร้างทฤษฎีบำเพ็ญประโยชน์ขึ้นมาเอง
คุยกันสักพัก นักเรียนผมก็เอาด้วย และเขาก็เริ่มกิจกรรมกันโดยมีผมเป็นผู้ดูแลไม่ให้เกิดกิจกรรมอย่างอื่นมากไปกว่าการพูดคุยในเล้าจ์แห่งหนึ่ง (อันที่จริง หลังจากตกลงกันได้ ผมก็ขออนุญาตสาวๆเหล่านั้นเพื่อให้เขาได้เกิดความไว้วางใจ และเข้าใจว่า นักเรียนแพทย์จะมานั่งคุยกับเธอด้วยวัตถุประสงค์ใด)
และหลังจากการพูดคุยกันอย่างเมามัน (เฮ้ย..มากไป) จบลง ผมกับลูกศิษย์ก็มานั่งพูดคุยกันเพื่อมองหาว่า พวกเธอเหล่านั้นได้อะไรไปจากเราบ้าง และเราได้อะไรมาบ้าง
เอาอย่างแรกก่อนนะครับ เขาได้อะไรจากเรา
“พูดคุยเรื่องคุมกำเนิด” อันนี้ไม่รู้ว่าใครสอนใคร เพราะบรรดาสาวๆที่ทำงานด้านการบริการทางเพศนั้นเขาเก่งและช่ำชองเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยมาก เธอจะไม่ร่วมเพศด้วยหากไม่ใช้ถุงยาง มีการใช้อุบายหลากหลายวิธีที่ทำให้ชายที่มาใช้บริการต้องสวมถุงยาง จะมีบ้างบางคนที่แอบถอดถุงยางออก ซึ่งหากพวกเธอรู้ ก็สามารถบอกเลิกกิจกรรมทางเพศได้ทันที บางคนใช้ยาคุมกำเนิดกินร่วมกันเพื่อป้องกันการท้อง เป็นวิธี back up ที่ดีมากๆ
“ระบาย” จะว่าไป นี่เป็นจุดประสงค์หลักที่ผมนำนักเรียนแพทย์มานั่งคุยกับพวกเธอ ซึ่งในตอนที่เรามาพูดคุยกันนั้น กลายเป็นว่าเรื่องราวหลายๆเรื่องที่เธอเล่ามา กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกศิษย์ผมตะลึงบ้าง สะเทือนใจบ้าง และกลายเป็นการเปลี่ยนมุมมองต่อพวกเธอไปบ้าง
สรุปว่า จุดประสงค์ข้อนี้เราสอบตก
แล้วเราได้อะไรจากพวกเธอบ้าง อันนี้ก็สืบเนื่องมาจากข้อที่แล้ว
“ราวครึ่งหนึ่งที่ต้องมาทำงาน เกิดขึ้นมาจากการท้องตอนเรียน” จริงๆครับ ผมไม่ได้เขียนขึ้นมาลอยๆ หลายคนตั้งท้องช่วงที่เรียนหนังสือ ไม่ได้ทำแท้ง กลับเข้าไปเรียนต่อไม่ได้ ต่อไม่ติด จึงตัดสินใจออกมาทำงาน และงานที่ทำอยู่นี้ก็เอามาส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวและลูก และที่จริงยิ่งกว่านั้น พวกเธอถูกผู้ชายคนที่ทำให้ท้องทิ้งไปทั้งหมด
“เงินดี” และงานที่ได้เงินดี ก็หนีไม่พ้นงานที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ บางคนได้เงินเดือนละกว่าแสน (ในช่วงที่เศรษฐกิจดีๆ) หาง่าย ใช้ง่าย ผมเคยคุยกับเธอคนหนึ่ง “หนูได้เงินจากการเสียตัวครั้งแรกหนึ่งแสนนะหมอ คนแก่บางกลุ่มมีความเชื่อว่า การเปิดบริสุทธิ์หญิง คือยาอายุวัฒนะ ได้มาแสนนึง เสียค่านายหน้าไปสองหมื่น แต่หนูนอนไม่หลับไปเป็นเดือน เพราะมันเป็นการเสียตัวครั้งแรกในชีวิตหนูเลย”
อย่างนี้กระมัง ที่มันเป็นตัวบ่อนทำลายความรักตัวเอง และยังคงเลือกทำงานต่อไปด้วยใจที่กระด้างและปราศจากความรู้สึกยินดียินร้าย
“ใช้หนี้ได้” ใช่ครับ ด้วยเงินขนาดนี้สามารถปลดหนี้ได้ด้วยเวลาอันสั้น หลายคนต้องส่งเงินราวครึ่งหนึ่งไปให้ครอบครัว ที่เหลือส่วนตัวก็หมดไปง่ายๆกับค่าเครื่องสำอาง ค่าเสริมสวย เสริมนม เสริมดั้ง อาหารเสริม และค่าผ่อนรถ จนท้ายที่สุด ด้วยความคิดที่ว่าจะปลดหนี้ได้เร็วก็กลับกลายเป็นถมไม่เต็ม
แต่อาจจะไม่ถูกเสียทั้งหมด เพราะหลายๆคนที่ผมได้คุยด้วย สามารถหลุดพ้นจากงานนี้ได้ พวกเธอสามารถมีทุนกลับไปตั้งตัวได้ใหม่ ลงทุนเปิดร้านขายของตามฝันได้ หรือบางคนอาจจะจบด้วยการได้แต่งงานกับใครสักคนที่พบเจอกันในการซื้อขายครั้งนั้น แบบนี้จบดีเหมือนนิยาย มีจริงๆ
“พวกเธอคือผู้บำบัด” คำๆนี้คือนิยามใหม่ ที่บรรดาลูกศิษย์พยายามหาคำมาอธิบายชื่อเรียกที่ควรจะเป็นจริงๆ
แรกเริ่มนั้น เราเรียกโปรเจคชิ้นนี้ว่า “โสเภณีแฝง” ที่เรียกเช่นนี้ ก็เพราะการเป็นผู้บริการในเล้าจ์มาจบงานด้วยการซื้อขายบริการทางเพศ มีการจ่ายเงิน มีระบบทุกอย่างที่เอื้อต่อการซื้อขาย จะไม่ให้เรียกโสเภณีแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร
แต่เมื่อมีการเข้าไปพูดคุยกันกับพวกเธอ นักเรียนแพทย์ของผมถึงกับเปลี่ยนความคิด เพราะว่างานที่เธอทำอยู่นั้นคือการบำบัดทางเพศของชายผู้ซื้อบริการ ผู้ชายหลายคนมีความต้องการมาก มากเสียจนภรรยาที่บ้านไม่สามารถทนต่อกิจกรรมทางเพศแสนหฤโหดนั้นได้ ชายบางคนเล่นยามาแล้วมีความต้องการสูง และเมื่อเริ่มมีเพศสัมพันธ์จะใช้เวลานาน มันนานมากขนาดที่ทำให้อวัยวะเพศของเธอเกิดอาการระบมบวม ลูกค้าบางคนมีกามวิตถาร บางคนต้องดมกลิ่นฉี่ของผู้หญิงก่อนเพื่อสร้างอารมณ์ บางคนฉีดซิลิโคนที่กระเจี๊ยวจนมันบวมเป่งเหมือนลูกบิดประตู เวลาจะใช้งานต้องเอามือมาคลึงบีบ และปั้นรูปให้มันเหมือนจู๋ปกติ (ที่ไม่ปกติ) เสียก่อน เป็นเช่นนี้เอง ที่ทำให้ลูกศิษย์ผมขอให้เขียนในรายงานว่า งานที่พวกเธอทำอยู่นั้น คือ “ผู้บำบัดทางเพศ” มิใช่โสเภณีแฝง อย่างที่เราเริ่มเรื่องกัน
และผมยังทราบมาอีกว่า มี ๒ สิ่งที่ถือว่าเป็น “เสนียดจัญไร” ต่อการทำงาน
โอ้โห เริ่มมาก็ขนลุก มันเป็นเสนียดอะไรกันเลยเหรอ
อย่างแรกคือ “คนทำงานตั้งท้อง”
“ท้องไม่ได้นะหมอ มันเป็นเสนียดในที่ทำงาน มีคนท้องทำงานอยู่ ลูกค้าจะไม่เข้า” เธอคนนั้นบอกผมโดยไม่ได้อธิบายตรรกของความคิด หรือที่มาที่ไปของความเชื่อนั้น แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไม ไม่ใช่เพราะเด็กในท้องหรอก แต่เพราะเมื่อคราวท้องไม่ควรมาทำงานอย่างนี้ต่างหาก หรือไม่ก็คนท้องจะอยู่ไม่สวย อ้วนฉุ ตัวดำคล้ำลง คลำไปหมด ตั้งแต่นม จั๊กแร้ พุง และจิ๋ม ธรรมชาติสร้างมาเช่นนี้นี่นา
บางทีผมก็นึกขำ เชื่อไหมว่ากฎหมายไทยก็เข้าใจประเด็นนี้นะครับ ไม่น่าเชื่อเลย ท่านเขียนไว้ว่า
ในประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดทางเพศ มาตรา ๒๘๒ ๒๘๓ และ ๒๘๔ หากตั้งท้องขึ้นมา สามารถทำแท้งได้ตามกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๕ ได้ เห็นไหม
อย่างที่สองว่าด้วยอาการเสนียดก็คือ “เธอสวยจัง”
“แหม..วันนี้เธอสวยจัง” เธอเปิดประตูห้องตรวจเข้ามา พร้อมชุดแต่งกานที่สวยงาม แต่งหน้าทาปากได้อย่างน่าดู กลิ่นน้ำหอมจางๆเล็ดลอดออกมา และผมก็ชมออกมาอย่างที่ใจนึก ผู้หญิงแต่งตัวสวยก็คือสวย และผมก็มักจะได้รอยยิ้มตอบออกมาจากเธอ
แต่หลังจากการตรวจร่างกายตามหน้าที่ผ่านพ้นไป เธอผู้นั้นก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้ในห้องตรวจ จนผมสงสัย
“หมอคะ หนูขอบคุณที่หมอชมว่าหนูสวยนะคะ แต่หมอ…หมอช่วยด่าหนูหน่อย”
“จะบ้าเหรอ” อะไรกัน อยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมถึงกับให้ต้องทำในเรื่องแปลกๆแบบนี้ ผมคิดในใจแต่แสดงออกทางสีหน้าว่าไม่เข้าใจ
“หมอไม่รู้อะไร เวลาคนชมออกมาแบบนี้ พวกหนูจะไม่มีงานเข้าเลยนะหมอ” เธออธิบายต่อ เมื่อยังเห็นหัวคิ้วของผมยังคงขยุกอยู่ด้วยความสงสัย
“เอาเหอะ ไม่ต้องสุภาพมากนัก ช่วยด่าหนูว่า อีดอก หน่อย จะได้ไปทำงานต่อ” เธอยังคงไม่ยอม
ก็ได้
“เธอนี่…เอิ่ม…” ผมเว้นจังหวะไว้เสียนาน แม่สอนมาดีครับ
“เธอนี่มันอีดอกจริงๆ”
ผมพูดพลางก็สำรวจหัวใจไปในคราวเดียวกัน
มันห่อเหี่ยวพิกล
ธนพันธ์ ชูบุญรักน้องนะอีดอก
๑๙ สค ๖๐
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ธนพันธ์ ชูบุญ ใน ผมเอง