เสียบแล้ววิ่ง .. !

“เสียบเลยพี่ แล้วพี่จะติดใจ มันจะฟินมาก”

โอ้โห แค่นายเริ่มต้นด้วยประโยคแบบนี้ แล้วพี่ไม่ลองนี่คงเรียกว่า “โง่” มากๆ

ผมรับของที่รุ่นน้องคนหนึ่งยื่นมาให้ มันคือที่เสียบหูฟังเพลงสีฟ้าสวยงาม เขาซื้อมาให้ผมใช้

“พี่แป๊ะฟังเพลงช่วงออกกำลังกายมั้ยพี่” เขาส่งข้อความถามเข้ามา

“ไม่ ไอ้บ้า..ไม่ต้องซื้อมาให้ จำไว้ พี่น้องกันดูแลกัน อย่าคิดเรื่องการตอบแทน” ผมตอบออกไป แล้วก็ยังคงวิ่งฟังเสียงธรรมชาติต่อไป

อันที่จริงจะว่าไม่เคยฟังก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะช่วงที่เริ่มออกกำลังกายนั้น ผมก็เอาที่เสียบหูฟังของไอโฟนมาใช้ แต่ติดที่มันรุงรัง วิ่งไปสายก็สะบัดไปมาเป็นภาระ แถมบางครั้งปุ่มมันมากระทบตัวแล้วเข้าโหมด “สิริ”

“คุณจะให้ช่วยอะไร บอกมาฉันฟังอยู่” มันบอกมาเข้าหู ต้องกดปิดมันบ่อยๆ จนเลิกใช้ และหันมาฟังเสียงรอบข้างแทน เกลียดอีสิริ

……………………………………………………………….

ผมเริ่มออกวิ่งมาเกือบ ๒ ปีแล้วครับ

แทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าทำไปได้อย่างไร จากที่เคยหอบจนตัวโยนครั้งที่วิ่งฟันรัน ๔ กิโลเมตร  แล้วเดินขาลากต่อไปราวสัปดาห์หนึ่ง และมาถึงตอนนี้ผมก็วิ่งเสี้ยวมาราธอนมาหลายครั้งแล้ว ในใจอยากจะขยับไปลงครึ่งมาราธอนบ้าง แต่เมียกลัวผมตาย เลยยังไม่ยอมให้ผมลอง

และตลอดปีเศษที่ผ่านมา การวิ่งมันส่งผลต่อสุขภาพมากครับ

หัวใจเต้นช้าลง มันช้าจนผมสามารถหยุดยา propranolol ลงได้เหลือเพียงกินวันละครั้ง (เรื่องใจเร็ว ผมเคยเล่าไว้นานแล้ว) ความดันเลือดลดลง จากที่เคยอยู่ในช่วง 110/70 เดี๋ยวนี้อยู่ในช่วง 90/50 กล้ามเนื้อน่องเริ่มมีรูปร่าง พุงยุบ น้ำหนักลดลงไป 3 กิโลกรัม (มันคงลดลงไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วกระมัง)

ได้โปรดเชื่อผมเถิดครับ ออกกำลังกายเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะเริ่มเป็นโรคไปเสียก่อน

และเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายนที่ผ่านมา ผมก็ไปลงวิ่งในงาน “วิ่งวันมหิดล” มหกรรมวิ่งที่ติดตลาดมานานหลายปี มันจึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ใช้ของขวัญที่รับมาจากรุ่นน้อง

“ที่เสียบหูฟัง โซ่นี่ ว๊อคแมน”

หลังจากที่ได้มันมา ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เพราะไอ้คนอย่างผมมันน่าจะถูกจัดอยู่ในสายมินิมอลลิซึ่ม จะซื้ออะไรสักอย่างมาใช้ก็อดคิดนานๆไม่ได้ ไหนจะราคาแพง ไหนจะจัดการกับมันไม่เป็น ไหนจะไม่กล้าใช้ แต่นี่ได้มาฟรีนะครับ มันจึงตื่นเต้นบ้างสิน่า

เช้ามืดของวันอาทิตย์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๐ ตื่นเช้ามากเพราะนอนไม่คอยหลับ จะวิ่งทีไรเป็นอย่างนี้เสียทุกครั้ง เลยผละร่างออกมาจากเมียรักที่หลับซุกจั๊กแร้ผมอยู่อย่างสบายและลุกขึ้นมาจากที่นอนอย่างเงียบๆ กลัวเขาตื่น ลงไปชงกาแฟปลุกวิญญาณ ซดนมสด อุ่นพิซซ่าโฟชี้สที่กินตุนมาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน และเหลือเผื่อไว้เพื่อเช้านี้โดยเฉพาะ ยืดเหยียดเอ็นและน่อง และรีบขึ้นไปขี้ เวลาวิ่งจะได้ไม่ต้องแบกมัน (คงหนักหลายขีดอยู่)

ผมเริ่มจัดการกับการเล่นที่เสียบหูโดยการเก็บเพลงลงโฟลเดอร์ใน JOOX music

เอาล่ะสิ จะเลือกเพลงแบบไหนดีวะ และด้วยอารมณ์รักดนตรีก็จัดแจงลงเพลงไปราว ๓๐ เพลง จนขี้สุดก็เสร็จพอดี

แล้วผมก็ได้เริ่มใช้งานไอ้เจ้าหูฟังแสนสวยอันนั้นจริงๆเสียที

“เงียบฉี่” ไม่ใช่ฉี่เงียบ

ด้วยจุกของมัน ทำให้ฟิตกับรูหูพอดี เมื่อเปิดเพลง มันจึงไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกเลย ใครคุยมาก็คงดูแต่ปาก งานนี้หากใส่วิ่งคนเดียว อาจจะเสี่ยงถูกรถทับตาย จึงเลือกโหมดแอมเบี้ยนส์ซึ่งจะได้ยินสรรพเสียงรอบข้างได้อย่างชัดเจน คุยกับเพื่อนร่วมทางได้ และที่สำคัญ มันขยายเสียงให้เราด้วย ขนาดหายใจดังก็ได้ยินเสียงตัวเอง เท้ากระทบพื้นก็ยังได้ยินเสียง ตลกดี

งานวิ่งเขาปล่อยตัวตรงเวลาเป๊ะ และผมก็ออกวิ่งพร้อมฟังเพลงและฟังเสียงสรรพสิ่งรอบตัว

“เจ็บก็ทน ช้ำก็จะทน รักเธอจนไม่มีหัวใจให้ใคร….” มันเริ่มด้วยเพลงนี้ “ทั้งรักทั้งเกลียด” เพลงโปรดจากกุ้ง ตวงสิทธิ์ ผมคลั่งไคล้มันมากตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ม.๔ ชอบมากขนาดที่เอามาเป็นเนื้อเพลงในไดอารี่บันทึกรักเล่มแรก (ผ่าง…)

และปัญหาของการฟังเพลงมันก็เริ่มเกิด เพราะโดยปกติ ผมจะวิ่งโดยใช้ความเร็วราว ๗ -๘ นาทีต่อระยะทาง ๑ กิโลเมตร การก้าวขาจะอยู่ประมาณ ๒ ก้าวครึ่งต่อวินาที และไอ้ทั้งรักทั้งเกลียดนี่มันมีจังหวะช้ากว่าขาที่ก้าวน่ะสิ กลายเป็นว่าผมต้องใช้จังหวะก้าว ๒ ก้าวต่อวินาที หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ผมต้องค่อยๆปรับตัวระยะหนึ่งจนสามารถวิ่งได้ตามปกติ

มันท้าทายมาก

“ขอให้ฉันได้ร้องเพลงบ้างซักเพลง ฉันไม่เคยคิดร้องเพลงเลยซักเพลง เพลงนี้เป็นเพลงแรกและเป็นเพลงสุดท้ายในชีวิตของฉันที่คุณจะได้ยินได้ฟัง……” มาอีกแล้วครับ “กระถางดอกไม้ให้คุณ” ของน้าเขียว คาราบาว ก็มาอยู่ในลิสต์เพลงที่ผมเก็บเอาไว้ด้วย เพลงโปรดเมื่อครั้งอยู่ ม.๔ เหมือนกัน เมื่อนึกถึงเพลงนี้ ผมก็จะมีความทรงจำที่เกี่ยวกับเพื่อนผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่หมู่บ้านพวงเพชรในจังหวัดบ้านเกิดที่ต้องไปทำงานกลุ่มอะไรกันสักอย่าง ผมยังคงคิดถึงเจมและจอม เพื่อนสมัยโรงเรียนอนุบาลที่ตอนนี้เจ้าเจมด่วนจากไปเสียระยะหนึ่งแล้ว ผมยังมีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของน้าเขียวในเพลงนี้ “เพล้ง…แล้วอยู่มาวันหนึ่งฉันจึงมาเข้าใจ….” แต่เจ้าพระคุณน้าเขียวเอ๋ย น้าทำให้ผมสับขาขวิดไปขวิดมาอีกแล้ว จังหวะเบสที่วงของน้าลงมา มันบังคับขาผมให้ลงไปตามจังหวะดนตรีอีกหน

มึนตึ๊บ

“Hello darkness, my old friend. I’ve come to talk with you again…..” น้าน มาอีก เพลงภาษาอังกฤษก็มีด้วยนะ “The sound of silence”

พูดถึงเพลงนี้ ผมก็หวนนึกไปถึงช่วงอายุราว ม.๑ ในชั้นเรียนวิชาภาษาอังกฤษ นึกถึงห้อง sound lab ของวิชานี้ ลองนึกสภาพโรงเรียนประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีความทันสมัยที่สุดของจังหวัดสิครับ โรงเรียนผมมีห้องแล็บเสียงนี้เพื่อใช้เรียนวิชาภาษาอังกฤษเท่านั้น ในห้องติดแอร์เย็นเฉียบท่ามกลางห้องเรียนอื่นๆที่ตากลมพัดหวนเพียงอย่างเดียว ห้องแล็บมีความขลัง ทุกโต๊ะมีหูฟังและไมโครโฟน (ผมล่ะนึกถึงการเป็นนักบินเลยเชียว) มีที่กั้นส่วนตัว ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าห้อง มีห้องกระจกของครูอยู่ด้านหลังสุด และห้ามคุย จะพูดต้องกดปุ่ม มันดูขลังชมัด

ในวันนั้น ครูเปิดเพลง The sound of silence ให้พวกเราฟัง ทุกคนต้องท่องเนื้อให้ได้จะได้ร่วมร้องเพลงกัน โย่วๆ และผมน่ะเหรอครับ ขึ้นใจเลย “within the sound of silence…” เพลงบ้าไรวะ ไม่มีท่อนฮุก

ผมรักเพลงนี้นะครับ ได้ยินทีไรก็ต้องนึกถึงห้องแล็บห้องนั้นทุกครั้ง และเฮ้ย…จังหวะของมันนี่ใช่เลย ๒ ก้าวครึ่งต่อวินาที ผมเลยวิ่งไปตามจังหวะเพลงได้อย่างสบาย และหอบเล็กน้อย เนินหน้าสวนสาธารณะนี่ไม่สูงมากแต่โคตรยาวเลย ออกวิ่งไปแต่ละก้าว จึงดูเหมือนถ่อๆขึ้นไป

“คืนนี้เธอจงนอนด้วยใจเป็นสุข ขอจงลืมวันวานผ่านมา…” เพลง “หลับตา” ของชรัส เพลงช้าๆออกไปทางแจ๊ซเล็กๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิ่งแบบผมได้ (๒ ก้าวครึ่งต่อวินาที)

ผมชอบเพลงของชรัสอยู่หลายเพลง ฟังแต่ละครั้งก็จะนำพาผมย้อนกลับไปสมัยเรียนหมออยู่ราวชั้นปีที่ ๔ ช่วงเวลาที่มีเครื่องเสียงของตัวเองเป็นครั้งแรก ผมอยู่หอพักบินหลา ๑ ได้นอนกับรูมเมทผู้ซึ่งรักความเงียบสงบยามอ่านหนังสือและยามหลับนอน และดังนั้นเมื่อผมเปิดเพลงกล่อมตัวเองเบาๆ จึงได้เกิดความขัดเคืองกันขึ้น และโกรธกันยกใหญ่ ผมไม่ได้โกรธรูมเมทผมหรอกนะครับ ผมโทษลุงชรัส ที่ทำให้ผมต้องฟังเพลงเพราะๆของลุง “ฉันมันไม่มี วาสนา…” เอาเข้าไป

เราโกรธกันยาวราวเกือบเทอม (เด็กคณะแพทย์ชั้นคลินิก หนึ่งเทอมคือหนึ่งปีนะครับ) แล้วก็ดีกัน

เพลงหลับตาของลุงทำให้ผมวิ่งได้แบบไม่เหนื่อย โดยเฉพาะท่อนฮุก “หลาบบบบบ ตา ซิที่รัก” มันทำให้ผมต้องกระแทกปลายเท้าลงบนถนนแรงๆตามจังหวะเพลง

ชอบจริงๆ

……………………………………………………………….

“เสียบเลยพี่ แล้วพี่จะติดใจ มันจะฟินมาก”

คำบอกของรุ่นน้องเจ้าของของขวัญที่เสียบหูอยู่ตอนนี้ยังก้องอยู่ในใจผม

วันนั้นผมลงวิ่งเสี้ยวมาราธอน ๑๐.๕ กิโลเมตร ออกจากจุดเริ่มวิ่ง ผ่านหน้าพระรูปพระบิดา ออกถนนกาญจนวนิช ผ่านสามแยกคอหงส์ หน้าค่ายเสนาณรงค์ สามแยกถนนนวลแก้ว หน้าสวนสาธารณะหาดใหญ่ กลับตัวก่อนถึงแยกเกาะหมีเล็กน้อย ใช้เวลาไป ๑ ชั่วโมง ๒๑ นาที นี่ถ้าหักเวลาหยุดวิ่งเพื่อบัญชาการการปฐมพยาบาลนักวิ่งที่เป็นลมอยู่ราว ๗ นาที ก็คงเป็นสถิติใหม่ของการวิ่งเลยทีเดียว

ใช้เวลากิโลเมตรละ ๗ นาทีเศษๆ

วิ่งเร็วแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นจากที่เสียบหูฟังอันนั้นหรือไม่ หรือว่าจังหวะการก้าววิ่งถูกผมดัดแปลงให้เข้ากับจังหวะเพลงไปจนมันอาจจะเร็วขึ้นบ้าง

แต่ที่แน่ๆ มันฟินมาก

เช้านั้นผมเลือกสวมกางเกงในแบบรัดตุ้ม สวมกางเกงสั้นเต่อสีส้มเพื่อจะได้มองเห็นในกล้องได้แตกต่างจากคนอื่นๆบ้าง (นั่นไง) แต่เจ้ากรรม ปกติผมจะวิ่งโดยใช้กางเกงในแบบโทงเทง มาเช้าวันนี้มันจึงรู้สึกไม่ปกติที่ไข่ไปในบัดดล มันสีกับกางเกงจนรู้สึกรำคาญ แน่นบ้างก็เอามือเขี่ยๆ แต่ที่รำคาญมากสุดๆคืออาการคันที่ตะเข็บระหว่างขาหนีบกับถุงอัณฑะ มันคันแต่เกาไม่ได้ คนมันเยอะ มีตากล้องอยู่หลายจุด เดี๋ยวเขาถ่ายรูปตอนผมกำลังเกาไข่อยู่พอดี คงจะได้ดังระเบิดระเบ้อ

ดังนั้น เมื่อเข้าสู่เส้นชัย เมื่อปลอดคนได้สักหน่อย ผมจึงจัดการเกาตรงที่มันคันยิกๆ เอาให้มันหายคัน หายเจ็บใจ คันมาราวชั่วโมงเศษ

“ฟิน” อย่างที่น้องว่าจริงๆ

“หลับตาซิที่รัก ในวงแขนของฉัน จะไม่มีผู้ใดคิดทำร้ายเธอได้…”

ธนพันธ์ ชูบุญมีหูฟังแล้ว

๑๗ กันยายน ๒๕๖๐ หลังวิ่งมหิดล ๗ วัน