ในอดีต เราอาจเคยได้ยินว่า หากติดเชื้อเอชไอวี เราคงไม่สามารถทำอะไรได้นัก นอกจากรอวันป่วย และตาย ซึ่งนั่นอาจทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี รู้สึกท้อแท้ หมดหวัง ไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร แต่ในปัจจุบันนี้ จากที่ได้เรียนรู้และรู้จักเอดส์มากว่า 30 ปี เอดส์ เป็นเพียงความเจ็บป่วยที่รักษาได้ และสามารถควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวีไม่ให้ทำลายภูมิต้านทานได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้นิยามไว้ว่า “เอดส์คือโรคเรื้อรัง” ซึ่งสามารถดูแล รักษา รวมถึงป้องกันไม่ให้ป่วยได้ โดยผู้ติดเชื้อฯ สามารถเรียนรู้ เข้าใจ เพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา ป้องกันด้วยตนเอง และร่วมกับแพทย์ ผู้ทำการรักษา
เมื่อติดเชื้อเอชไอวี ร่างกายจะเป็นอย่างไร?
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อเอชไอวีจะมีสุขภาพไม่ต่างจากเดิมเลย เพราะเชื้อเอชไอวีจะไม่ทำให้เราป่วยในทันที แต่ค่อยๆ ทำลายภูมิคุ้มกันไปเรื่อยๆ ซึ่งอัตราเฉลี่ยของคนไทยที่จะเริ่มป่วยใช้เวลา 7 – 10 ปี ตั้งแต่วันที่รับเชื้อฯ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไม่ป่วยหรือป่วยช้า คือ
- ปริมาณและความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี ถ้าร่างกายมีปริมาณเชื้อเอชไอวีมากก็จะป่วยเร็ว ดังนั้นหากไม่รับเชื้อเพิ่ม รวมทั้งได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวี สุขภาพก็จะแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยบ่อย
- การป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสอย่างทันท่วงที การป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสแต่ละครั้ง จะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อเริ่มมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรกินยาป้องกันก่อนป่วย และถ้าป่วยต้องรีบรักษา
ในช่วงที่เรามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย แต่ยังไม่มีอาการป่วย เรียกว่า เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพราะร่างกายของเรายังมีภูมิคุ้มกันที่ควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้อยู่ และเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายเหลือจำนวนน้อย จนไม่สามารถควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ ทำให้เราป่วยด้วยเชื้อโรคนั้นๆ เรียกว่าเริ่มมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งโรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องนั้น เรียกว่า โรคฉวยโอกาส ซึ่งทุกโรครักษาได้ หลายโรคป้องกันไม่ให้ป่วยได้
ดังนั้น “เอดส์รักษาได้ เชื้อเอชไอวีควบคุมได้”
ที่มา : www.thaiplus.net เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย