โชคดีที่ไม่น่ายินดี

โชคดีที่ไม่น่ายินดี

ชื่อเรื่องนี้อาจสร้างความน่าแปลกใจให้ใครหลายคน ว่าเพราะอะไร ความโชคดี จึงไม่น่ายินดี ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่เข้าใจความรู้สึกไม่ยินดีกับความโชคดีนี้ จึงค่อยๆ พูดคุยกับคนตรงหน้า รับฟังความคิด ความรู้สึกของเค้าโดยไม่รีบเร่งที่จะเอาความเชื่อเดิมของเราว่า “เรื่องโชคดี คือเรื่องน่ายินดี “ ไปตัดสินและสั่งสอนให้เค้าควรยินดีกับเรื่องโชคดีนั้น

ในการคุยกันนอกจากการไม่เอาความเชื่อเดิมไปใส่ผู้ฟังแล้ว ผมยังต้องระมัดระวังความรู้สึกสงสัยเพื่อไม่ให้ท่าทีที่แสดงออกเป็นไปในแบบสืบสวน เพราะในขณะที่คนตรงหน้าเริ่มเล่า เขาน้ำตาไหลคลอ เสียงสะอึกดังเป็นระยะในการเล่าเรื่องโชคดีที่เกิดขึ้นย้อนกลับไปตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องราวต่อผมร้องขอจากผู้อ่านสองข้อ

1.ทบทวนเรื่องราวโชคดีที่เกิดขึ้นของตัวเอง ระลึกถึงสถานการณ์จนเห็นภาพ จับต้องความคิดได้ และรู้ให้ทันว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร เพื่อให้แน่ใจว่า เราเคยมีเรื่องโชคดีที่รู้สึกดี

2.เปิดหัวใจให้กว้าง รู้ให้ทันความคิดของตัวเองในขณะที่อ่านข้อความ เพราะทุกคำคือเรื่องราวของความทุกข์ใจในความโชคดีของใครคนหนึ่ง ไม่รีบเร่งที่จะตัดสิน “อะไรวะแค่นี้เอง” “มองข้ามไปซิ” “ก็ทำดีที่สุดแล้วนี่หน่า”

ที่ชวนคิดสองข้อก่อนจะไปต่อด้วยกันนี้ เพื่อเรียนรู้ร่วมกันว่าคนเราอาจรู้สึกต่อบางเรื่องไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน

เรื่องราวเกิดขึ้นย้อนกลับไปประมาณ 10 ปีก่อน ปั้น (นามสมมติ) กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ความเติบโตทุกด้านกำลังทำงานไปพร้อมๆ กัน ร่างกายที่แข็งแรงเพื่อขยับ ยก เคลื่อนไหวไปในที่ที่ต้องการไป ทำในสิ่งที่ต้องการจะทำให้สำเร็จ อารมณ์ที่ไม่ต่างจากวัยรุ่นทั่วไป หงุดหงิดบ้างกับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามหวัง เสียใจเมื่อคิดว่าตัวเองไร้คุณค่า และสับสนปนสงสัยตามวัย เพราะกำลังอยู่ในช่วงของการตามหาตัวเอง ความหวาดหวั่นต่อการมีปฏิสัมพันธ์ของต่อเพื่อนตามความสนใจ คนรัก และความสามารถของตนเองเพิ่มทวีคูณในวันที่ต้องลงสนามทำสิ่งใหม่ๆ

ปั้นในฐานะนักเรียนชั้นมัธยมหนึ่ง ได้มีเพื่อนใหม่จากการเล่นช่วงพักกลางวัน ปั้นรู้ตัวดีว่าการไปโรงเรียนวันแรกกับเพื่อนใหม่ที่มาจากหลากหลายที่ย่อมต้องใช้พลังงานในการทำความรู้จักมาก ปั้นทุ่มกำลังลงไปกับการเล่นบาสในช่วงพักกลางวันอย่างเต็มที่ ทำแต้มได้ดี เป็นที่สนใจจนเพื่อนๆ หลายคนเข้ามาพูดคุยและถามปั้นถึงเทคนิคในการเล่นบาส ตกเย็นปั้นเร่งฝีเท้าไปที่ห้องนอนของแม่หลังจากกลับมาถึงบ้าน เพื่อเล่าเรื่องเพื่อนและความภูมิใจของเขาให้แม่ฟัง ขณะที่เขากำลังเล่าและส่งความรู้สึกพึงพอใจนั้นให้กับแม่ แม่ตอบกลับว่า “ลูกโชคดีนะที่มีเพื่อนดี ถ้าไปโรงเรียนที่เพื่อนไม่น่ารัก ลูกอาจไม่ได้รับการยอมรับขนาดนี้” ตบท้ายปะโยคด้วยการสอนทักษะสังคมในแบบของแม่ว่า “ลูกควรจำชื่อเพื่อนได้ทุกคน” “ลูกควรบอกขอบคุณทุกคน แม้เค้าจะไม่ได้ชมลูกก็ตาม” ….

ปั้นไม่ย่อท้อกำลังกับการตามหาตัวเองเพราะแม้ว่าปั้นอยากได้รับการยอมรับจากแม่ แต่ลึกๆ ปั้นรู้ว่าแท้จริงปั้นอยากที่จะภูมิใจในตัวเองด้วยตัวเอง

การสอบทุกครั้งแม้มีบางวิชาที่ปั้นถอดใจ เช่น วิชาภาษาอังกฤษ ปั้นก็จะจัดการอารมณ์และประคับประคองให้คะแนนของตัวเองผ่านเกณฑ์ ส่วนในวิชาที่ชอบและสามารถทำได้ดี ปั้นจะตั้งใจมาก อ่าน ทบทวน ทำโจทย์ซ้ำๆ ในวิชาคณิตศาสตร์ เมื่อคะแนนออกมาปั้นได้เกรดสี่ ความดีใจนี้มันล้นจนอดไม่อยู่ที่จะโพสต์คะแนนลงในโลกโซเชียล ซึ่งปั้นได้รับการชื่นชมจากเพื่อน รวมทั้งปั้นเองก็ได้เข้าไปตอบคอมเมนต์ชื่นชมเพื่อนที่ทำได้ดี และปลอบใจเพื่อนที่ทำได้ไม่ตามเป้าที่ตั้งไว้

ในช่วงของอาหารเย็น แม่ยกประเด็นที่ปั้นโพสต์ขึ้นมาคุยบนโต๊ะอาหารด้วยสีหน้ากังวล ปั้นรับรู้ได้จากสีหน้าและน้ำเสียงของแม่ แม่พยายามใช้ถ้อยคำที่ราบเรียบ และพูดกับปั้นว่า “แม่ว่ามีเพื่อนหลายคนนะที่เข้ามาชมคะแนนคณิตศาสตร์ของลูก แต่อีกหลายคนคงอยากพูดเรื่องคะแนนภาษาอังกฤษของลูกที่เกือบตก โพสต์แบบนี้อันตรายกับลูกมาก ลูกต้องระวังให้ดี ลูกโชคดีมากที่ไม่มีใครโพสต์ไม่ดี และโชคดีมากที่ลูกเรียนในโรงเรียนเล็กๆ ถ้าไปโรงเรียนใหญ่ขึ้นคะแนนคณิตศาสตร์อาจไม่ได้เท่านี้ ตั้งใจอีกนะลูก”

เป็นอาหารของบ้านมื้อแรกที่รสชาติจืดชืด ปั้นรีบจบอาหารคำสุดท้ายลงและลุกออกจากทุกคน

ปั้นเดินออกจากห้องครัวด้วยความสงสัย “ฉันดีพอไหม หรือนี่แค่เรื่องโชคดี”  

ปั้นกลับเข้าห้องนอน ที่ซึ่งปลอดภัยสำหรับปั้นมากที่สุด แต่คำสอนของแม่ ความปรารถนาดีของแม่ เรื่องโชคดีที่แม่มองเห็น ยังคงวนเวียนในความคิด น้ำตาปั้นไหล ความเศร้า ความสับสน ความไม่แน่ใจ พาปั้นเข้านอนในคืนนั้น .

………………………………………………………………………………………………………….

ในบางวันที่ปั้นไม่ต้องการความรู้สึกพึงพอใจ ภูมิใจ หรือสำเร็จ

ในบางวันที่ปั้นเพียงนอนเล่นที่ห้องพร้อมกับแอนนิเมชั่น และเพลงโปรด

ปั้นลองคิดทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ปั้นพบว่า ..

แม่ใช้วิธีสื่อสารกับตัวเองแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ..แต่ปั้นรู้สึกเฉยๆ ไปถึงดี ไม่มีความรู้สึกอื่นใด

แม่ใช้วิธีสื่อสารกับตัวเองแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ..แต่ปั้นไม่เคยรู้สึกสับสน สงสัย หรือเศร้ากับตัวเองเลย

การทบทวนครั้งนี้ แม้ไม่ได้เปลี่ยนความรู้สึกที่ปั้นมีต่อตัวเองมากนัก แต่อย่างน้อยปั้นรู้ว่าแม่หวังดี อย่างน้อยแม่ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี เพียงแต่แม่อาจไม่เคยฟังเสียงสะท้อนของความพยายามและตอบกลับด้วยท่าทีที่น่าชื่นใจให้กับปั้น

กระทั้งครั้งสุดท้าย ในทริปของครอบครัวเพื่อฉลองการเรียนจบมหาวิทยาลัยของปั้น ปั้นอาสาจัดทริปและขับรถพาทุกคนไปเที่ยวด้วยกันที่จันทบุรี น้องสาวเอ่ยปากชม “พี่ปั้นเก่งนะขับรถยาวๆ ได้ เป็นหนูนี่ตายไปแล้ว” แม่สำทับว่า “โชคดีมากที่วันนี้รถน้อยและคนส่วนใหญ่ขับแบบมารยาทดี” น้ำตาปั้นไหลอย่างไม่รู้ตัวและขับต่อไปถึงปลายทาง

ปั้นเล่าจบ ปั้นบอกกับผมว่า เท่าที่ผมกลับไปทบทวนตัวเองว่าอะไรที่อาจส่งผลกับความคิดว่า ตัวเองไร้ความสามารถ ตัวเองไม่ดีพอ ผมคิดว่าคงมีหลายเรื่อง แต่ที่ผมจำได้แม่นคือเรื่อง “ความโชคดี ที่ผมไม่เคยรู้สึกดี”

นรพันธ์ ทองเชื่อม : นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต เลิฟแคร์สเตชั่น