โอบกอดตัวเอง

โอบกอดตัวเอง

โลกใบนี้มีการเปลี่ยนผ่านมาแสนนาน ความคิดเห็นต่อการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงไป ..ในยุคหินโบราณ การล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร และการป้องกันตนเองจากการถูกล่าเป็นสิ่งสำคัญในตอนนั้น ต่อมาในยุคเกษตรกรรมผู้คนเข้าจับจองพื้นที่ทำกิน จากอาณาเขตกว้างใหญ่ที่ใครจะล่าสัตว์ตรงไหนก็ได้บนพื้นโลกใบนี้ก็ถูกจำกัดลงตามขอบเขตที่ถูกแบ่งแยกของเรา-ของเขา ความสามารถใหม่ที่มนุษย์ต้องมีคือ การรักษาขอบเขตทำกินเพื่อเอาชีวิตรอด..

บ้านไหนที่ลูกชายล่าสัตว์ได้ จะมีการเอาสัตว์แห่ไปทั่วหมู่บ้านเพื่อประกาศความสามารถ

บ้านไหนเพาะปลูกได้งอกงาม ก็จะเอาผลผลิตมาอวดโชว์กันด้วยความภูมิใจ

นี่เป็นเพียงการชวนให้เห็นภาพของโลกใบนี้ ที่ตีตราเอาเรื่องของ “ความอยู่รอด” “ความสามารถ” และ “ความภูมิใจ” มารวมไว้ด้วยกัน

มาสู่โลกในปัจจุบัน ความภูมิใจแตกต่างออกไป เพราะไม่ได้มาจากการที่เราล่าสัตว์หรือเพราะปลูกพืชได้สวยงาม แต่มาจากการผลการเรียนที่ดี การพัฒนาตนได้เต็มที่ในกีฬาที่ชื่นชอบ หรือการสอบเข้าสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง

มีบางส่วนที่ไม่ต่างไปเลยจากโลกในวันก่อน คือ การ “ชื่นชม” จากคนอื่น การอวดโชว์ความสามารถของเราจากคนในครอบครัวสู่สายตาคนอื่น ในวันที่เรา “สำเร็จ”

สะสมเป็นพัฒนาการทางสังคมของช่วงตั้งแต่วัยรุ่นเป็นต้นไปที่มุมมองจากเพื่อน คนรัก คนในที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งคนในโลกออนไลน์  ส่งผลต่อความคิดและความรู้สึกต่อตนเอง

แต่ในโลกที่ไม่ง่าย “ความสำเร็จแบบสำร็จรูป” จึงเป็นไปได้ยาก ที่หนึ่งที่มีเพียงตำแหน่งเดียว ที่นั่งในมหาวิทยาลัยที่จำกัด ภาวะโรคระบาดที่ทำให้องค์กรต้องลดแรงงานลง ในขณะผู้คนบนโลกออนไลน์พร้อมจะอวดโชว์โลกด้านเดียวที่มีความสุขแก่สายตาผู้คนจนหลายครั้งทำให้เรานำเอาสิ่งนั้นมาเปรียบเทียบกับตนเอง เหล่านี้ มีส่วนในการสร้างปัญหาในการใช้ชีวิต ความรู้สึกเศร้า กังวล สะสมเป็นการกล่าวโทษตนเองโดย บ้างก็คิดว่าตนไร้ค่า บ้างก็คิดว่าตนไม่เป็นที่ต้องการ บ้างก็คิดว่าตนไร้ความสามารถ

ทั้งหมดที่เล่ามา เป็นเรื่องราวของหลายคนบนโลกนี้ โปรดเชื่อเถอะว่า คุณไม่ได้กำลังประสบกับความคิดลบต่อตนเองเพียงลำพัง ข้อความข้างต้นนี้กำลังบอกว่าเรา และหลายคนบนโลกพร้อมที่จะรับฟังและเข้าใจคุณในฐานะมนุษย์ร่วมโลก และในฐานะผู้ที่กำลังประสบปัญหาร่วมกันกับคุณ แล้วคุณล่ะพร้อมแค่ไหนที่จะอนุญาตให้ตัวเอง ได้ฟังเสียงข้างใน “ให้อภัย” และ “โอบกอดตนเอง”

เริ่มจากฝึกสงบอารมณ์ หลายครั้งพบว่า คนที่ประสบกับอารมณ์ลบในระดับสูงมักเกิดความคิดวนเวียนเกี่ยวกับการกล่าวโทษตนเอง  เป็นความคิดด้านเดียวที่หยุดได้ยาก การสงบอารมณ์โดยค่อยๆ รับรู้อารมณ์ผ่านร่างกายที่เปลี่ยนแปลง เร็ว ช้า ร้อน เย็น มากกว่าปกติ และค่อยๆ เรียกชื่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเรา พร้อมกับการนำตัวเองมาสู่สภาวะปัจจุบัน ผ่านทักษะ Grounding Exercise สำรวจ สิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัส รับรส และอยู่กับสิ่งนั้นอย่างรู้ทัน ลดการให้ความหมาย และลดการตัดสิน

มองหามุมมองตามความเป็นจริง เมื่ออารมณ์สงบจะส่งเสริมการคิดอย่างเป็นหตุเป็นผลได้มากขึ้น แน่นอนว่าในหลายครั้งเรามีส่วนที่ผิดพลาดและต้อปรับปรุง แต่หากได้มองความผิดพลาดอย่างรู้เท่าทัน เราคงไม่ใช่คนเดียวที่มีส่วนทั้งหมดของความผิดพลาดนั้น และที่สำคัญหากเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของตนเองได้ ความรู้สึกต่อความผิดพลาดจะลดลงอยู่ในระดับที่ควรจะเป็นตามเจตนาที่เป็นจริง จนสามารถยอมรับได้ว่า

“ความผิดพลาด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้”

“ความผิด กับ ความผิดพลาดไม่เหมือนกัน”

“แม้เจตนาจะวัดได้ยากกว่าผลของความผิดพลาด แต่หากเรารู้เท่าทันเจตนาที่แท้จริง ความรู้สึกต่อตนเองจะสมเหตุสมผลมากขึ้น”

อีกทั้งยังพบว่า ในขณะที่กำลังมีอารมณ์ลบ อาจเครียด เศร้า กังวล ในระดับที่สูงเกินไป มักทำให้การจัดการปัญหากลับกลายเป็นการสร้างวงจรปัญหาใหม่ ตรงกันข้ามกับใจสถานการณ์ที่คนสามารถจัดการความรู้สึกได้ดี จะส่งผลต่อความสามารถในการจัดการปัญหาได้ดีตามลำดับ

กิจกรรม Hero letter

1.นึกถึงคน (มีจริงหรือในจินตนาการก็ได้) ที่เราชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก เขียนจดหมายถึงเราเพื่อบอกกับเราถึงเหตุการณ์ที่เราทำบางอย่างผิดพลาด

2.ให้คำแนะนำเราถึงพฤติกรรมที่ควรทำ หากเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์คล้ายกันนี้อีกครั้ง

3.อยากตอบอะไรกลับให้แก่ Hero

 

นรพันธ์ ทองเชื่อม : นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต เลิฟแคร์สเตชั่น