6 วิธีหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่เป็นการล่วงละเมิดทางคำพูด

6 วิธีหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่เป็นการล่วงละเมิดทางคำพูด

  • คนที่ถูกทำร้ายจิตใจทางคำพูด โดยเฉพาะคนที่เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นบ่อยๆ จะรับรู้ถึงการกระทำได้ช้ากว่าคนอื่นๆ ซึ่งมันอาจจะขัดกับสัญชาตญาณของมนุษย์
  • ธรรมชาติของมนุษย์ทำให้เราติดอยู่แต่กับสิ่งนี้ รวมถึงความชื่นชอบที่จะอยู่แต่กับสิ่งที่รู้ แทนที่จะก้าวไปสู่อนาคตที่เราไม่อาจรู้ได้
  • วัฏจักรทางธรรมชาติของการล่วงละเมิดทางคำพูดและนิสัยใจคอบางอย่างสามารถที่จะประคับ ประคองความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมทางคำพูดได้หลากหลายวิธี

ถ้าหากว่ามันจะมีข้อตำหนิเดียวที่ปรากฎขึ้นในแบบสอบถามที่ผู้ชายและผู้หญิง

กรอกให้กับฉันในหนังสือ Verbal Abuse: Recognizing, Dealing, Reacting, and Recovering

มันก็คงจะไม่พ้นคำถามที่ว่า

“ทำไมมันผ่านมาตั้งนานแล้ว ฉันถึงพึ่งมารู้ว่าที่ผ่านมาตนเองถูกล่วงละเมิดทางคำพูดอยู่โดยตลอด

แล้วทำไมมันยากจังที่จะก้าวออกมา”

คำตอบของคำถามนี้มันทั้งยากและง่ายในเวลาเดียวกัน

การล่วงละเมิดทางคำพูดนั้นเกิดขึ้นจากความไม่เท่าเทียมทางอำนาจในความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ในความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูก ความไม่เท่าเทียมนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ลูกๆ นั้นต้องการการพึ่งพาจากพ่อแม่ และพ่อแม่ไม่ได้แค่ควบคุมโลกใบเล็กๆ นั้น แต่ก็ตัดสินวิธีการตีความโลกใบนั้นให้ลูกๆ ด้วย

ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ 2 คน ไม่ว่ามันจะมีความโรแมนติกหรือไม่ จะมีคนหนึ่งคนที่มีอำนาจมากกว่า เพราะด้วยเรื่องการเงินหรือเรื่องสิ่งของทรัพย์สินต่างๆ หรือเพราะคนใดคนหนึ่งมีความรู้สึก หรือต้องการความสัมพันธ์นั้นมากกว่าอีกคนหนึ่ง การล่วงละเมิดทางคำพูดนั้น ก็เป็นอีกทางหนึ่งในการรักษาระยะการควบคุมของตนเองต่อคนอื่นๆ โดยวิธีการคือ ทำลายความนับถือและความมั่นใจของผู้ถูกกระทำในแง่หนึ่ง และทำให้อำนาจของผู้กระทำที่มีต่อคนๆ นั้นบีบกระชับมากขึ้นในอีกแง่หนึ่ง

ทำไมการออกมาจากความสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องยาก ถึงแม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่มีการล่วงละเมิดทางคำพูดก็ตาม

พวกเรามักจะคิดว่าตัวเรานั้นเป็น นักเสี่ยงโชคและนักผจญภัย แต่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์นั้นเป็นพวกที่มีความอนุรักษนิยม คือ เลือกในสิ่งที่รู้มากกว่าสิ่งที่เราไม่รู้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่รู้นั้นจะทำให้ไม่มีความสุขก็ตาม กฎของการหลีกเลี่ยงการสูญเสีย (ข้อสังเกตนี้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ของนักจิตวิทยา Daniel Kahneman) การเอาชนะแรงกระตุ้นนี้มันอาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่มันสามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใส่ใจกับขั้นตอนดังต่อไปนี้

6 ขั้นตอนที่จะทำให้การก้าวออกไปจากความสัมพันธ์ที่เป็นการล่วงละเมิดทางคำพูดของคุณง่ายขึ้น

มีรูปแบบหลักการที่สามารถคาดเดาได้ว่าทำไมผู้คนถึงได้ยังติดอยู่กับความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดเหล่านี้ขั้นตอนเหล่านี้มาจากการศึกษาคนคว้า และเกร็ดความรู้ส่วนบุคคล ฉันจะใช้คำนามและคำสรรพนามที่เป็นผู้หญิงเพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อน แต่โปรดจำไว้ว่าผู้ชายก็ตกเป็นเป้าและตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางคำพูดได้เช่นกัน

1.หยุดทำให้การล่วงละเมิดทางคำพูดเป็นเรื่องปกติ และอย่าหาเหตุผลให้กับมัน

          เด็กๆ คิดว่าการล่วงละเมิดทางคำพูดนั้นเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาเพราะตัวเขาคิดว่าสิ่งนี้ที่เกิดขึ้นในบ้านที่ผู้ใหญ่ด่าว่ากัน ต้องเกิดขึ้นกับทุกที่ และเมื่อพวกเขาได้ค้นพบว่าความจริงแล้วไม่ใช่ทุกบ้านที่จะใช้คำพูดเหล่านี้ เป็นอาวุธ ก็ต่อเมื่อเขาได้ค่อยๆ รับรู้มันไปเอง

        แต่ถ้าหากในกรณีที่พ่อแม่กระทำกับตัวเด็ก ความต้องการของเด็กที่ต้องการความรักและความดูแลเอาใจใส่

จากพ่อแม่สำคัญเกินกว่าที่เด็กจะยอมรับความเป็นจริงได้ เด็กก็จะพยายามปลอบใจตนเอง โดยการคิดว่าที่พ่อแม่ทำแบบนั้นก็คงเป็นเพราะท่านไม่ได้ตั้งใจ หรือ ถ้าแย่ไปกว่านั้นเด็กก็จะคิดว่า สิ่งที่พ่อแม่พูดหรือทำมันก็ถูกต้องแล้ว “ฉันมันไม่มีค่า” “ฉันมันไม่ดีพอให้ใครรัก…”

คำที่พ่อแม่ใช้ทำร้ายลูกมักจะส่งผลไปถึงวัยที่ลูกโตไปเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะทำให้การล่วงละเมิดทางคำพูดนั้นเป็นเรื่องปกติทั่วไป

          ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ ผู้ถูกกระทำจะแก้ตัวให้กับผู้กระทำความรุนแรง หรือโทษตัวเองในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะก้าวออกจากความสัมพันธ์นี้และยังให้ความหวังกับตนเองว่า สักวันหนึ่งเขาก็จะหยุดการกระทำนั้นและกลับมาใจดีและรักเธออย่างที่เธอรัก น่าเสียดายที่ธรรมชาติของวัฏจักรการล่วงละเมิดทางคำพูดนั้นไม่ได้ทำให้สิ่งที่เธอนึกเป็นความจริงได้

2.รับรู้ให้ได้ถึงวัฏจักรของการล่วงละเมิดทางคำพูด

หากการล่วงละเมิดทางคำพูดเกิดขึ้นทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง จะไม่มีที่ว่างพอให้นึกถึงการไม่ยอมรับความเป็นจริง  และความหวังของผู้ถูกกระทำ

และผู้กระทำก็ทราบเรื่องนั้นดี  ถ้าการจู่โจมนั้นคงที่ไปตลอด เธอจะต้องเดินออกไปอย่างแน่นอน  Lenore Walker วิเคราะห์รูปแบบวิธีสำหรับการทำร้ายร่างกาย ซึ่งไม่แตกต่างจากการทำร้ายทางวาจา

           มันเริ่มด้วยช่วงของการสร้างความตึงเครียด เมื่อผู้กระทำเริ่มวงจรของการวิจารณ์และการต่อว่าด้วยคำพูด  ในการทำร้ายร่างกาย จึงมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งสามารถพูดกว้างๆ ได้ว่า คือการขาดจากวัฏจักรการของการละเมิดทางคำพูด ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นรูปแบบของการโต้เถียงครั้งใหญ่ก็ตาม  และในที่สุดก็ถึง ช่วงฮันนีมูน ที่สำคัญที่สุดจากในแบบสอบถามของเรา  ในระหว่างช่วงขั้นตอนนี้ ผู้กระทำการรุนแรงจะกลายเป็นคนที่มีจิตใจที่สงบและดูเป็นห่วงเป็นใย และอาจจะกล่าวคำขอโทษสำหรับพฤติกรรมของเขา โดยสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงตนเอง  ไม่ต้องพูดก็รู้ได้เลยว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้จะทำให้ผู้ถูกกระทำย้อนกลับไปคิดว่า อะไรที่ทำให้เธอตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรก และเพิ่มการไม่ยอมรับในความเป็นจริงและความหวังที่เธอยึดมั่น  เธอจะบอกตัวเองว่าสิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนมุมมองไปแล้ว

          ความสามารถของคุณในการที่จะรับรู้ถึงวัฏจักรนี้ได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ช่วยเบรกรูปแบบความคิดที่ทำให้คุณติดอยู่แต่กับสิ่งนั้น ซึ่งฉันจะกล่าวถึงต่อไป

  1. เผชิญหน้ากับความคิดโดยอัตโนมัติหรือผิดพลาด

          ทศวรรษที่ผ่านมา B.F. Skinner ได้ค้นพบทฤษฎีบางสิ่งเกี่ยวกับหนูที่สามารถนำไปใช้กับมนุษย์ได้เช่นกัน ซึ่งเรียกว่าการ เสริมแรงเป็นระยะๆ  เขาใส่หนูที่หิวโหยไว้ในกรงที่มีคันโยก 3 แบบดังต่อไปนี้ 1) แบบไม่มีอาหารอยู่เลย

2) แบบให้อาหารตลอดเวลา และ 3) แบบให้อาหารเป็นบางครั้ง  ค้นพบว่าหนูที่ติดคันโยกเป็นตัวที่ได้รับอาหาร “บางครั้ง”  มนุษย์ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน  ถ้าเราไม่ได้รับอะไรจากคู่ของเรา เราก็จะก้าวออกไป  ถ้าเราได้สิ่งที่ต้องการ เราก็จะอยู่  แต่ถ้าเราได้สิ่งที่เราต้องการในบางครั้ง เราก็มีแนวโน้มที่จะอยู่เฉยๆ เผื่อว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอีก  การเสริมแรงเป็นระยะคือสิ่งที่ทำให้ช่วงฮันนีมูนมีพลังเหมือนกับกาวตราช้าง

          และจากนั้นก็มาถึงช่วงที่ชื่อดูจะแฟนซีสักหน่อย ความผิดพลาดที่ต้นทุนจม ซึ่งยืนยันอีกครั้งว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะอยู่กับมันมากกว่าจากมันไป  เมื่อเราคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหรือแทนที่บางสิ่ง เราไม่ได้คิดถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจนำมาซึ่งเรา  แต่คิดถึงต้นทุนของการละทิ้งสิ่งที่เรากำลังจะจากไป  ความคิดที่ว่า “ถ้าฉันออกจากความสัมพันธ์นี้ ฉันจะสูญเสียเวลา อารมณ์ และพลังงานทั้งหมดที่ฉันทุ่มเทไปกับมัน”  แน่นอนว่าการลงทุนเหล่านั้นจางหายไปนานแล้ว ซึ่งเกิดจากสาเหตุที่เรียกว่าความเข้าใจผิด

  1. โฟกัสว่าคุณได้รับผลกระทบจากการล่วงละเมิดทางคำพูดอย่างไร

           เปลี่ยนจุดสนใจของคุณจากพฤติกรรมของผู้ล่วงละเมิดมาเป็นที่คุณแทน และพฤติกรรมที่คุณพัฒนาขึ้นเพื่อรับมือกับมัน  พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ความรู้สึกของตัวเอง และความสามารถที่จะคิดได้อย่างอิสระ เมื่อคุณเริ่มพิจารณาอย่างตรงไปตรงมาถึงสิ่งที่เสียหาย จากการระดมยิงอย่างต่อเนื่อง มันอาจจะยากที่จะพยายามทำให้มันเป็นปกติ ยากที่จะหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง และในช่วงฮันนีมูนมันก็จะพัดพาคุณไป

  1. ปล่อยให้ตัวเรารู้สึกถึงอารมณ์ของเรา

          การปฏิเสธและสิ้นหวังทำให้คุณต้องควบคุมอารมณ์ต่างๆ เช่น ความโกรธและความเจ็บปวด ในขณะที่การปล่อยให้ตัวเองรู้สึกโกรธแค้นต่อสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อคุณเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือ  คุณอาจประหลาดใจกับการผสมผสานของอารมณ์ที่คุณรู้สึกและความแข็งแกร่งของพวกเขา  แม้กระทั่งในความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมทางคำพูด คุณอาจรู้สึกถึงการสูญเสียครั้งใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกละอายใจที่คุณเองเลือกที่จะอยู่กับมันและปล่อยให้  มันดำเนินต่อไป  ขั้นตอนนี้จะสำเร็จได้ดีที่สุดด้วยความช่วยเหลือจากนักบำบัด

  1. จินตนาการถึงอนาคตที่แตกต่างออกไป

          พูดตามเสียงที่ตนเองสงสัยกับตัวเองว่าครั้งต่อไปมันก็จะไม่ต่างออกไปหรอก มิฉะนั้นอาจแย่กว่านี้  จำไว้ว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนใครได้นอกจากตัวคุณเอง การเปลี่ยนแปลงและการมีชีวิตที่แตกต่างนั้นเป็นไปได้  ค้นหาการสนับสนุนหากคุณต้องการ

บทความนี้ดัดแปลงมาจากเนื้อหาในหนังสือของฉัน Verbal Abuse: Recognizing, Dealing, Reacting, and Recovery.

ผู้เขียน: Peg Streep

ผู้แปล: นางสาวชุติมณฑน์ ณ ตะกั่วทุ่ง

ที่มา: https://www.psychologytoday.com/intl/blog/tech-support/202304/6-steps-to-leaving-a-verbally-abusive-relationship