จัดการใจ ไม่ให้กลายเป็นคน Toxic เสียเอง
ด้วยสภาวะกดดันของโลกที่เปลี่ยนแปลง สะสมให้ผู้คนเองก็ต้องปรับเพื่อการแข็งขันและเอาตัวรอด ความพยายามที่มากมายภายใต้แรงกดดัน อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและอารมณ์ หลายคนที่เคยสดชื่นแจ่มใสในการทำงาน อาจกลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายใช้อารมณ์ พูดจาสั้นห้วน ออกคำสั่งมากกว่าร้องขอความช่วยเหลือ ระมัดระวังท่าทีน้อยลง ทั้งยังสนใจความรู้สึกต่อคนอื่นน้อยลง ทำให้กระทบความสัมพันธ์ การทำงาน และการใช้ชีวิต
หลายคนอาจเรียกเขาเหล่านี้ว่า “คน Toxic” แต่หากได้เข้าใจที่มาของสิ่งที่เขาเผชิญ เราอาจมีมุมมองต่อบุคคลเหล่านั้นในแบบที่เปลี่ยนไปได้ว่าแท้จริงเขาอาจไม่ได้ Toxic จนเป็นนิสัย แต่ภายใต้ความกดดันเขาเองก็กำลังปกป้องตัวเองอย่างมากเกินไป และไม่รู้ตัว
และแม้เราจะสามารถเข้าอกเข้าใจที่มาของอารมณ์ การกระทำนั้นได้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่า เราต้องอดทนและยอมรับทุกอย่างที่เขาทำให้กระทบกับอารมณ์ของเรา เพราะหากเราเองอยู่ในบรรยากาศกับคนที่สร้างความ Toxic ที่สื่อสารอย่างไม่ระมัดระวัง และบรรยากาศในบ้าน ที่โรงเรียน การทำงานกลุ่มด้วยกันอย่างขาดความเห็นอกเห็นใจต่อเนื่องไปในระยะเวลานานอาจส่งผลให้เรามีปัญหาอารมณ์ ทั้งยังอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเรียนได้อีกด้วย
ในบ้าน และในโรงเรียน หากเริ่มมีสมาชิกที่แสดงออกแบบ Toxic ย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ของผู้คน ส่งผลต่อการทำงานกิจกรรมร่วมกันทั้งเรื่องจำเป็น และเรื่องสนุกสนาน และอาจส่งต่อความ Toxic นี้ ถึงกันและกันโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นคน Toxic มาอยู่รวมกันเพราะอารมณ์ขุ่นมัวที่ไม่ได้รับการแก้ไข
ทำอย่างไรเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคน Toxic ที่รบกวนใจ
ควบคุมอารมณ์ เป็นสิ่งที่พูดง่าย แต่ทำยากมาก เพราะสมองส่วนอารมณ์สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ เราอาจเสียงดังกลับเมื่อคิดว่าเขาพูดไม่ดีใส่เรา เขาไม่ยุติธรรม ในขณะที่ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ลมหายใจที่เร็วและแรง ใจที่สั่น การเคลื่อนไหวแบบว่องไว
ดังนั้นการควบคุมอารมณ์จึงไม่ใช่การกดอารมณ์เพราะการกระทำดังกล่าวผิดธรรมชาติของสมอง แต่เป็นการค่อยๆปรับที่สิ่งสามารถจับต้องได้ให้ผ่อนคลาย โดยการปรับการเคลื่อนไหวไม่ให้เร็ว หรือกดจนหยุดชะงัก ไปพร้อมๆ กับการฝึกหายใจให้เป็นทิศทาง อาทิ เข้าทางจมูกออกทางปาก
โดยการควบคุมอารมณ์ไม่ใช้การยอมแพ้แต่เป็นการลดแรงกระทบ ทั้งยังเป็นการลดการซึมซับเอาพฤติกรรม Toxic ของเขามาเป็นของเรา
ฟังจนจบ เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแสดงความคิดเห็นของตนจนจบ ไม่ตัดบท ไม่รีบเร่งที่จะสรุปใจความแทน เพราะเราอาจมีความคิดอคติจากประสบการณ์เดิมที่เคยจำว่า “คนนี้พูดไม่ดี” “คนนี้ไม่ยุติธรรม” เพราะการพูดคุยในแต่ละครั้งอาจมีบางอย่างเปลี่ยนแปลง อาจใช้คำถามเพิ่มเติมตามความสงสัยด้วยท่าทีที่สงบ กลั่นเอาเนื้อหาของการสื่อสารเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในงานต่อไป แต่หากรู้ตัวว่าอารมณ์ยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยต่อเนื่องควรปฏิเสธด้วยท่าทางเป็นกลาง เพื่อลดการต่อความและปะทะคารม
รอจนอารมณ์ลบผ่อนคลาย และเล่าระบายกับเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ที่พบเจอสถานการณ์เดียวกับเรา โดยการระบายออกแบบนี้มีข้อดีที่นอกจากช่วยให้เราได้ระบายความรู้สึกที่คั่งค้างออกมาเป็นคำพูด ยังช่วยให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเราไม่ได้ประสบกับทุกข์นี้เพียงลำพัง แต่ข้อควรระวังคือ “การระบายความรู้สึกเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อความคิดและความรู้สึกของตนเอง ประโยคส่วนใหญ่จึงใช้การพูดเกี่ยวกับความรู้สึกตนเองที่ได้รับผลมาจาก “การกระทำ”
โดยพยายามระมัดระวังการพูดถึง “บุคคลผู้นั้น” ด้วยการตัดสิน เช่น “นิสัยไม่ดี” “ไม่ควรเป็นหัวหน้า” เพราะหากกระทำแบบนั้นจะเป็นการนินทา ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ก่อให้วงจรของบรรยายกาศทางอารมณ์ยิ่งจมอยู่ในเรื่องราวน่าทุกข์ใจ
ความโกรธเป็นอารมณ์ตามธรรมชาติ แต่ความคับแค้นใจ ทำให้เราก้าวออกจากเรื่องทุกข์ใจได้ยาก ความโกรธเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อเราคิดว่ากำลังถูกรุกล้ำพื้นที่ สิทธิ์ หรือกฎของตน แต่ความคับแค้นใจเป็นความโกรธที่อยู่กับเราต่อเนื่องยาวนานเหตุจากการผูกพันความคิดกับเรื่องที่ผู้อื่นกระทำกับเราอย่างยับยั้งไม่ได้ การรู้เท่าทัน การผ่อนคลาย และหาสิ่งอื่นที่ให้คุณค่ากับเรามากกว่า ช่วยให้เราสามารถเบี่ยงเบนความคิดได้ อย่างน้อยเพื่อไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันในการวนเวียนกับความโกรธแค้น
ไม่บังคับ หรือพยายามเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะเชื่อได้ว่ามีที่มาของความ Toxic และหากเราสงบและพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดจากอะไร อาทิ หัวหน้าหงุดหงิดง่าย ใช้คำพูดไม่ดี เพราะกำลังรู้สึกกดดันกับการทำผลงานในช่วงปลายปี ในขณะที่เราเองก็สามารถจัดการอารมณ์ได้ระดับนึงและมีความปรารถนาดี “ต้องการให้หัวหน้าได้เข้าใจและมีอารมณ์ที่ดีขึ้น”
แต่หากหัวหน้ากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์หงุดหงิด ที่มาจากความกดดันระดับสูง ความเป็นห่วงและปรารถนาที่อยากให้หัวหน้าเปลี่ยนแปลง อาจถูกตีความว่ากำลังเข้าไปบังคับ ดังนั้นแล้ว ก่อนสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลง อาจต้องมีการประเมินระดับอารมณ์ ความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และความคุ้มค่าในความปรารถนาดีนั้น
บริหารอารมณ์ตนเอง ซึ่งต่างจากการสงบอารมณ์เมื่อต้องเผชิญกับคน Toxic โดยการบริหารอารมณ์เป็นฐานตั้งมั่นด้านจิตใจเพื่อให้พร้อมรับสิ่งที่จะรบกวนใจ การบริหารอารมณ์สัมพันธ์กับกิจกรรมหลายชนิด เพราะการมีสุขภาวะของอารมณ์ที่ดีมากจากหลายปัจจัยทั้งสุขภาพกาย การรู้เท่าทันความคิดอารมณ์ และการออกไปทำกิจกรรมทางสังคม
การอยู่กับคนที่ Toxic อาจกระตุ้นให้เราเองสู้กลับด้วยการเป็น Toxic ดังนั้นการรู้เท่าทันความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมตนเอง มีส่วนในการช่วยให้เราไม่ตกหลุมพรางของอารมณ์และกลายเป็นคน Toxic เสียเอง
หงุดหงิดง่ายเมื่อต้องสื่อสารกับคนอื่น ผิดพลาดแล้วจะขอโทษได้ยาก ไม่รู้สึกยินดีเมื่อคนอื่นได้ดี มีความคิดเกี่ยวกับตนเองอย่างมาก หรือผู้คนรอบข้างเริ่มห่างจากเราไปทีละคน เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเราอาจต้องกลับมารู้เท่าทันตนเอง
นรพันธ์ ทองเชื่อม : นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต เลิฟแคร์สเตชั่น