ออกไปตามหาธรรมชาติในใจ

ออกไปตามหาธรรมชาติในใจ

            ในขณะที่กำลังเริ่มต้นเขียนบทความนี้  ก็มีเพลง “วันหนึ่งฉันดินเข้าป่า” แล่นเข้ามาในหัว ผมก็ฮัมเพลงไปเขียนไป ใจความของเพลงคงไม่ตรงกับเนื้อหาทั้งหมดแต่ใจความคือ “ป่าให้พื้นที่รู้สึกปลอดภัยทางใจ” กับอีกประโยคที่บรรยายว่า “เมื่อเธอทุกข์ใจให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ ปล่อยความทุกข์ใจไปกับทะเลและฟ้าสีคราม” ของวัชราวลี ซึ่ง..   ชีวิตคนเมือง ชีวิตประจำวัน สม่ำเสมอและความจำเจ

            การอยู่กับสภาวะเมืองที่ต้องแข่งกับเวลา ผู้คน และเป้าหมายในการใช้ชีวิต ส่งผลให้ร่างกายและจิตใจตื่นตัวตลอดเวลาสะสมเป็นความเหนื่อยล้า การทำสิ่งที่ต้องทำ เพื่อได้ในสิ่งที่อยากได้ในเวลาที่ต่อเนื่องกัน ใช้พลังงานสูง และควรค่าแก่การพักผ่อนกายใจ แต่ก็ไม่อาจหยุดพักจากสิ่งต่างๆ ที่กำลังทำได้ เพราะทุกอย่างที่ทำในทุกวันคือ “สิ่งสำคัญ” และหลายอย่างต้องทำ “ในทันที”

             บางคนถูกกระทบจากความเหนื่อยล้า บางคนก็เคยชินกับกิจวัตรจนกลายเป็นความรู้สึกจำเจ เบื่อหน่ายชีวิตคนเมืองและหาทางออกด้วยวิธีการแบบคนเมือง หลายกิจกรรมก็ช่วยให้ผ่อนคลาย แต่อาจไม่แปลกใหม่และกระตุ้นความพึงพอใจให้กับเราได้มากพอ

            จะดีไหม ถ้าเรามีโอกาสได้พากายใจไปเจอกับธรรมชาติที่ต่างไปจากชีวิตเมือง

            ร่างกายได้เปิดประสาทรับสัมผัสของธรรมชาติ

ตาได้เห็นสีสันและภูมิทัศน์ทั้งของป่าที่ต้นไม้สูงพุ่มเขียว และเส้นขอบฟ้าแนวทะเลที่ลากตรงสุดลูกหูลูกตา

จมูกได้ กลิ่นของป่าจากต้นไม้และดอกไม้ ทั้งยังได้รับกลิ่นอายของแดดและทะเล

หูได้ยินเสียงของใบไม้ไล่กระทบตามคลื่นลม นกร้อง และน้ำกระทบกับทราย ดังบ้าง เบาบ้าง ตามจังหวะ

ผิวได้สัมผัสอุณหภูมิที่หลากหลาย ความชื้นจากไอดิน ความร้อนที่มาจากดวงอาทิตย์กระทบ

ลิ้นรับรสจากอาหารในธรรมชาติ ผลไม้จากต้น หรืออาหารที่เพิ่งขึ้นจากทะเลสดใหม่

อีกทั้งต้นไม้ให้ออกซิเจน ทะเลให้อากาศที่บริสุทธิ์ และปลอดโปร่ง แดดให้วิตามินดี การเดินขึ้นลงในที่สูงชันช่วยให้กล้ามเนื้อได้ออกแรงกำลัง

หัวใจได้ความรู้สึกสดชื่นและความจำเจถูกท้าทายจากธรรมชาติ เมื่อร่างกายสดชื่นมีส่วนทำให้ใจผ่อนคลาย ฮอร์โมนแห่งความสุขหลั่งเพราะได้รับประสบการณ์ด้านบวกจากธรรมชาติพร้อมกับความไม่แน่นอนที่ปลอดภัย คลื่นกระทบในจังหวะที่ไม่เท่ากัน ลมโชยที่หนักบ้างเบาบ้าง หรือแม้แต่ฝนที่ดูเหมือนเป็นอุปสรรคของการใช้ชีวิตคนเมืองอาจให้ความชุ่มชื้นใจถ้าได้เจอกับฝนตกตอนที่อยู่ในป่า “ปล่อยจอย ปล่อยใจไปกับธรรมชาติ”

            อีกทั้งการออกไปอยู่กับธรรมชาติช่วยจำกัดกรอบทางสังคมทั้งทางตรงจากการชวนผู้คนที่สบายใจ และปลอดภัยไปอยู่กับธรรมชาติ และทางอ้อมเป็นการจำกัดผู้คนในโลกออนไลน์เพราะในสถานที่ธรรมชาติหลายแห่งไร้สัญญาณอินเทอร์เน็ต

การไปแหล่งธรรมชาติก็ต้องเตรียมตัวเพื่อลดอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นต่อกายและจิตใจ

1.เช็คสภาพอากาศ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายและอุปสรรค อาทิ พายุฝน คลื่นสูง ไฟป่า

2.เตรียมเสื้อผ้าให้เข้ากับสภาพอากาศ เพื่อความคล่องตัว กระฉับกระเฉงและปลอดภัย รวมทั้งการเตรียมเสื้อผ้าแต่พอดีเพื่อลดอุปสรรคจากการต้องพกพาสิ่งของจำนวนมาก

3.เตรียมร่างกายให้พร้อม การไปสถานที่ธรรมชาติย่อมเจอกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย จากการขึ้นที่สูงด้วยลิฟท์หรือบันไดเลื่อน อาจต้องเปลี่ยนการเคลื่อนไหวเป็นการเดินขึ้นที่สูงชัน หากได้มีการเตรียมร่างกายให้พร้อม อาทิ เดินมากขึ้น นอนให้พอ มีส่วนช่วยให้การไปสถานที่ธรรมชาติราบรื่นมากขึ้น

  1. พกยาประจำตัวหรือยาสามัญ การเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้ทุกที่ และอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกับผู้ที่มีความไวต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการไปในสถานที่ธรรมชาติก็มีโอกาสจะเกิดความเจ็บป่วยการเตรียมยาประจำตัวจะช่วยคลี่คลายอาการของเราได้ในยามจำเป็น
  2. วางแผนการเดินทาง และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ธรรมชาติ เพื่อให้ปลอดภัยและตรงใจมากที่สุด การไปสถานที่ธรรมชาติในช่วงวันหยุดยาวอาจไม่ตอบโจทย์การแยกตัวเองออกจากผู้คน เพราะต้องไปเจอกับผู้คนมากมายที่โหยหาธรรมชาติ

แต่หากยังไม่มีโอกาสไปป่า เขา หรือทะเล ลองมองหาธรรมชาติรอบตัวเท่าที่เป็นไปได้ อาทิ สวนสาธารณะที่มีต้นไม้ใหญ่ หรือแม้แต่ไออุ่นที่ล้นออกมาจากถ้วยกาแฟตอนเช้า เพื่อให้ใจได้ผ่อนคลาย

นรพันธ์ ทองเชื่อม : นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต เลิฟแคร์สเตชั่น