“เสียงครวญ” บาดแผลในอดีต

“หมอ หนูเจ็บ

โอ๊ย หมอ หนูเจ็บเหลือเกิน”

……………………………..

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมรู้สึกคิดถึงเธอคนนั้น เหตุการณ์ต่างๆในคืนนั้นมันแว้บเข้ามาทักทายกับสติของผม ผมคิดถึงเรื่องนี้ซ้ำๆ ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไม

เด็กผู้หญิง ที่อายุน่าจะราวๆ ม.๓ หรือ ม.๔ ก็จำไม่ค่อยได้เสียแล้ว เธอเป็นคนไข้ของหอผู้ป่วยนรีเวชกรรมในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่สูติแพทย์ฝึกหัดอย่างผมต้องมาหมุนเวียนฝึกงานอยู่ ณ ตอนนั้น

มันเกิดขึ้นราวปี ๒๕๔๑

“เธอไปทำแท้งมาจากที่ไหน และกี่วันแล้ว” ผมถามออกมาในฐานะของแพทย์เวรที่ต้องขึ้นมาดูคนไข้ที่เพิ่งเข้ามานอนในหอผู้ป่วยเมื่อช่วงราวหกโมงเย็น หลังจากที่พยาบาลรายงานผมทางโทรศัพท์ว่า มีผู้ป่วยแท้งติดเชื้อรับใหม่ที่หอผู้ป่วย

ความเงียบคือคำตอบจากผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงตรงหน้า เธอเป็นเด็กผู้หญิงผิวคล้ำ รูปร่างผ่ายผอม มีอาการไข้สูง ตัวซีด หายใจค่อนข้างเร็ว มีเลือดออกทางช่องคลอดและมีอาการปวดท้องน้อย

“มันท้องได้สัก ๒ เดือน ลูกกำลังเรียนอยู่ จึงพาไปทำแท้งที่บ้านหมอมา ไปทำมา ๒ วันแล้ว เลือดมันยังออกไม่หยุดเลย ไข้ก็สูงปรี๊ดเลยหมอ” คนเป็นแม่เป็นผู้ตอบคำถามนั้นแทน และ “บ้านหมอ” ตามที่เธอเล่ามานั้น ก็คือสถานที่ทำแท้งที่ได้รับความนิยมของจังหวัดแห่งนั้นที่มักจะมีคนไข้เกิดภาวะแทรกซ้อนเข้ามารับบริการต่อในโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ

“แล้วไปทำแท้งมาทำไม” ผมถามต่อออกไปโดยไม่สนใจแม้กระทั่งคำตอบ

ถ้าจะถามผมว่า “รู้สึกอย่างไร”

หากเป็นตอนนี้ก็คงจะรู้สึกหงุดหงิดกับระบบบริการสาธารณสุขของเราเอง ที่ไม่สามารถทำให้การทำแท้งเข้าถึงได้ แต่หากคำถามมันระบุถึงช่วงเวลาของวันนั้น ในช่วงชีวิตที่ผมกำลังเกลียดการทำแท้ง เกลียดคนทำแท้ง เกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้ง ผมก็คงจะตอบออกมาว่า “โคตรเบื่อเลย ไปทำแท้งเถื่อนมาทำไมวะ”

ผมสามารถตอบออกมาแบบนี้ได้อย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนไม่ได้ดูรอบกายเลยสักนิด ว่ามีใครในที่นั้นรู้สึกต่อความเจ็บป่วยของเด็กหญิงตรงหน้าอย่างไรบ้าง

ผมคงไม่ทันเห็นแววตาของความหวาดกลัวของอีหนูนั่น

ผมคงไม่ทันเห็นแววตาของความสงสารและเอื้ออาทรของแม่ ผู้ซึ่งมีลูกสาวกำลังนอนป่วยหนักอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล

ผมคงไม่ทันเห็นพ่อของเด็กออกไปยืนร้องไห้อยู่ด้านนอก หลังจากที่เพิ่งทราบว่าลูกสาวของเขาไปมีอะไรกับแฟนมัน แล้วมันท้อง แล้วมันไปทำแท้ง และเขาเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่อง

ราว ๒ ทุ่ม หลังจากจัดการเรื่องให้ยาฆ่าเชื้อ ให้น้ำเกลือ สั่งเตรียมเลือดจนเสร็จ ก็โทรศัพท์ไปรายงานอาจารย์ที่อยู่เวรเพื่อรับทราบ

“เด็ก ๑๔ ปี septic incomplete abortion (หรือแท้งติดเชื้อและแท้งยังไม่สมบูรณ์) ไข้สูง ซีด ตรวจภายในน่าจะยังมีเนื้อเหลืออยู่ในมดลูกอีกพอสมควร ผมจะพาไปขูดมดลูกในห้องผ่าตัดนะครับ แจ้งห้องผ่าตัดและอาจารย์วิสัญญีเรียบร้อยแล้ว”

“หมอขูดมดลูกในวอร์ดนั่นแหละ ไม่ต้องพาไปเข้าห้องผ่าตัดหรอก” เสียงสั่งการผ่านมาตามสาย

ผมเงียบไปนิดหนึ่ง แต่มันคงจะนานพอที่คนปลายสายจะทราบความคิด

“หมอขูดไปเลย เจ็บเสียบ้าง จะได้เข็ด” อาจารย์ยังคงยืนยันตามความคิดเดิม

ลองหลับตานึกนะครับ

ในสมัยที่การทำแท้งยังคงเป็นเรื่องราวลี้ลับ มันเป็นเรื่องของหมอเลวๆกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่ทำกัน (อาจารย์สอนผมมาอย่างนั้น) ยาทำแท้งไม่มีขายกันเกลื่อนตลาดเหมือนตอนนี้ (ใน พ.ศ.นั้น การแพทย์เราเพียงเพิ่งทราบว่ายา cytotec สามารถทำให้แท้งได้ง่ายๆ) และการขูดมดลูก ยังต้องใช้เครื่องมือที่ทำมาจากเหล็ก พวกเรายังใช้เหล็กคมๆขูดมดลูกกัน

 

ผ่านมา ๒๐ ปี

ตอนนี้ยาทำแท้งมีขายใต้ดินมากมาย ทั้งเก๊ทั้งจริง

ยาทำแท้งที่กระทรวงสาธารณสุขส่งให้ใช้ฟรีก็มี (แต่ยังไม่สามารถกระจายไปยังทุกโรงพยาบาลได้ เพราะหมอก็ยังไม่ยอมทำแท้ง)

หมอทำแท้งในเครือข่ายแพทย์ R-SA ก็มีให้เข้าถึง อาจจะมีเงื่อนไขบ้างก็แล้วแต่ว่าอยู่ที่ไหน

สายด่วนช่วยเรื่องท้องไม่พร้อมก็มี เพียงแค่โทรไปที่หมายเลข ๑๖๖๓ เขาก็มีคนยื่นมือมาช่วยเหลือการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมให้

และเราใช้เครื่องมือดูดโพรงมดลูกที่ทำจากหลอดพลาสติกแทนการขูดด้วยเหล็ก คนไข้ไม่ต้องดมยาสลบ เพราะเจ็บน้อยกว่าการขูดมดลูกสดๆมาก

แต่เชื่อไหม แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น คนไข้เจ็บตัวน้อยลง เรายังเจอผู้หญิงโชคร้ายที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการดีๆได้

ผมได้เจอคนไข้ที่ติดเชื้อรุนแรงจากการทำแท้งเถื่อนโดยการเสียบไม้ (ลูกชิ้น) เข้าทางข่องคลอดโดยหมอเถื่อนในจังหวัดปลายด้ามขวาน การติดเชื้อมันรุนแรงขนาดที่ทำให้เธอตัวเน่าทั้งตัว จริงครับ อ่านไม่ผิด เธอเน่าทั้งตัว และเธอก็ตายไปโดยทิ้งลูกอายุเพียงขวบเศษไว้ที่ปลายเตียงในไอซียู

“ถ้าเค้ามาหาเราตั้งแต่ต้น เค้าคงไม่ตายนะคะอาจารย์” ลูกศิษย์คนหนึ่งพึมพัมกับผม

“อือ” ผมตอบออกไปอย่างนั้น ถ้าเธอมาทำแท้งที่เรา ลูกก็คงไม่ขาดแม่

กรณีแบบนี้ หากบางคนจะบอกว่าเป็นเรื่องของ “กรรม” ก็ไปทำแท้งมาเองนี่นา นี่เป็นผลของกรรม หมอที่ดี คือมองกรรมอย่างอุเบกขา แล้วก็รักษาคนไข้ไปตามความสามารถของเรา และนั่นคือหน้าที่ที่แท้จริงของเรา

แต่หากมองเรื่องนี้เป็นเรื่องของ “คน” การที่คนๆหนึ่งจะไปทำแท้งมานั้น มันไม่ใช่แค่การ “ทำแท้ง” จริงๆ

แต่เอาเถอะ มันยังมีคนบาดเจ็บและตายจากการทำแท้งเถื่อนอยู่จริงๆ

………………………

เธอคนนั้นถูกจัดให้นอนในท่าขึ้นขาหยั่งในห้องตรวจภายในของหอผู้ป่วยนรีเวชกรม

ผมทายาฆ่าเชื้อที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด และเริ่มการขูดมดลูกด้วยเหล็กขูด ตามหน้าที่ของตน

“หมอ หนูเจ็บ โอ๊ย หมอ หนูเจ็บเหลือเกิน”

เธอกรีดร้องออกมาในทันทีที่ผมเริ่มขูดมดลูก

ผมยังคงทำหน้าที่ต่อไป เพราะอาจารย์สั่งมาเช่นนั้น แม้นในใจมันร้อนรนเพราะไม่เคยทำสดๆเช่นนี้ที่บ้านตัวเอง (ผมหมายถึงที่สงขลานครินทร์) และพยายามทำอย่างนุ่มนวล (ด้วยเครื่องมือที่เป็นเหล็กขูด)

เหงื่อผมเริ่มปุดเพราะความเครียด

“หมอ…เจ็บ” เสียงครวญไม่มีท่าทีจะลดน้อยลง เฉกเช่นเดียวกับเลือดที่กำลังออกมาพลั่กๆ

ผมแน่ใจว่าผมขูดมดลูกจนชิ้นเนื้อของการตั้งครรภ์น่าจะออกจนหมด

“เลือดมันควรจะหยุดได้สักที” ผมเริ่มพึมพัมบ้าง เพราะเมื่อการตั้งครรภ์สิ้นสุดได้อย่างสมบูรณ์ มดลูกจะหดรัดตัวได้ดี และเลือดจะออกน้อยลงจนหยุด

ผมใช้นิ้วมือข้างหนึ่งใส่เข้าไปในช่องคลอด และมืออีกข้างกดลงที่หน้าท้องอย่างแรง เพื่อกดมดลูกให้มันแบนลงนิดหน่อย ทำท่าเหมือนการกดห้ามเลือด และสวดมนต์

“พี่ โทรหาอาจารย์ให้หน่อย” ผมแจ้งพยาบาลเพื่อขอความช่วยเหลือ

เสียงปลายสายบอกมาว่า ให้กดไปก่อน เดี๋ยวเลือดก็หยุดไปเอง

ผมสั่งให้ไปเอาเลือดมาให้อีหนูคนนี้ในทันที เพราะเลือดมันยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ

“พี่ เรียกแม่เด็กเข้ามา” ผมเริ่มไม่มั่นใจ ว่าผมจะช่วยเหลืออะไรเธอได้มากกว่านี้

“แม่ ถ้าเลือดไม่หยุด หมออาจจะต้องพาเธอไปตัดมดลูกนะครับ” ผมแจ้งข่าวร้ายออกไป

นาทีนั้น ผมยังคงจำความรู้สึกของตัวเองได้จนถึงวันนี้

ผมมองหน้าเจ้าหนูคนนั้น เธอนอนหมดแรง แต่ยังคงครวญครางตลอดเวลาว่าเจ็บปวด เพราะมือผมก็ยังคงกดลงไปในช่องคลอดและกดท้องอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เลือดหยุด

ผมสั่งยาแก้ปวดฉีดเข้าหลอดเลือด

ผมรู้สึกเวทนาเจ้าเด็กคนนั้น

ลองนึกดูนะครับ ถ้าจะคิดว่ามันผิด มันก็คงจะผิดจริงๆ ที่ไปท้องมาในวันเวลาอันไม่ควร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องมาตัดสินลงโทษเธอแบบนั้น ตั้งแต่การตัดสินใจรังเกียจเธอตั้งแต่ต้น เพียงเพราะเธอไปทำแท้งมา

ตั้งแต่การไม่ยอมขัดแย้งอาจารย์เรื่องการขูดมดลูกแบบสดๆ

ตั้งแต่การยอมรับว่า “ให้เจ็บเสียบ้าง จะได้เข็ดหลาบ”

มันเป็นใครหนอ ทำไมจึงถูกกระทำจากพวกเราได้อย่างนั้น

ผมเวทนาตัวเอง ที่ครั้งหนึ่งนั้น ผมใจร้ายเหลือเกิน

เลือดหยุด ไม่ต้องตัดมดลูกทิ้ง

ผมนั่งเฝ้าเธอจนเกือบเช้า จนกระทั่งสัญญาณชีพเธอคงที่และปลอดภัย

………………………….

“หมอ หนูเจ็บ โอ๊ย หมอ หนูเจ็บเหลือเกิน”

๒๐ ปีผ่านมา ผมยังจำเสียงนั้นได้

แต่เวลามันทำให้มุมมองของผมเปลี่ยนไปมากเช่นเดียวกัน

 

ธนพันธ์ ชูบุญฉันคิดถึงเธอ

๔ พย ๖๐